2554-10-20

ศิลป์ในการชงกาแฟ

การชงกาแฟที่ดีนั้นไม่ง่ายเลยต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ สำหรับนักชงกาแฟมืออาชีพ หรือที่เราเรียกว่า “บาริสต้า” ต้องหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้เพื่อให้เกิดความรู้ ความชำนาญ ต้องพัฒนาทั้งฝีมือและทักษะควบคู่กันไป สาเหตุที่ทำให้การดื่มกาแฟ เป็นที่นิยมและแพร่หลายไปทั่วโลก เพราะว่าสามารถเตรียมได้หลากหลายวิธี และทำให้เป็นผู้ดื่มเกิดความพึงพอใจ และชื่นชอบในรสชาติของกาแฟที่แตกต่างกัน

โดยทั่วไปแล้วการชงกาแฟก็มีหลักการพื้นฐานที่เหมือนๆกันทั่วโลก นั่นคือ นำเมล็ดกาแฟที่บดแล้ว มาผ่านน้ำร้อน เพื่อสกัดเอากลิ่นและรสของกาแฟออกมา แม้ว่าจะมีวิธีการชงกาแฟอีกมากมายหลายวิธี กาแฟมันก็ยังมีความแตกต่างโดยพื้นฐานของวิธีการชงแบบต่างๆ วิธีการชงกาแฟแบบดั้งเดิมของชาวอาหรับ ทำโดยนำกาแฟมาต้ม 3 ครั้ง ถึงแม้ว่า การต้มกาแฟให้เดือด จะถือว่าเป็นวิธีที่แย่ เพราะการต้มกาแฟนั้น จะทำให้คาเฟอีน อีกทั้งกลิ่นและรสกาแฟ ถูกสกัดทิ้งไป ทำให้เกิดรสชาติที่ขมมากขึ้น



เครื่องชงกาแฟ



แต่ในปัจจุบันในปัจจุบันได้มีการนำเครื่องชงกาแฟ ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย เข้ามาช่วยในการชงกาแฟ ทำให้มี ความสะดวก สบายในการชงกาแฟและสามารถสรรค์สร้างวิธีการชงกาแฟที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ใด้กาแฟที่มีรสชาติและกลิ่นที่ดี และแตกต่างกันไปตามลักษณะและรูปแบบการชงกาแฟนั้นๆ


แม้คอกาแฟหรือนักชิมจะเก่งขนาดไหน หากในเรื่องของรสชาติกาแฟแล้ว ก็ไม่อาจมีอะไรยืนยัน ได้แน่นอน มีสิ่งเดียวในหมู่นักชิมที่รู้กันว่า เมื่อไรก็ตามนักดื่มกาแฟที่จริงจัง 2-3 คน มาเจอกันพวกเขาก็จะพูดคุยกัน ถึงประเด็นที่ว่า เคล็ดลับในการชงเอสเพรสโซ ให้ดีมีอะไรบ้าง?

สำหรับคำว่า “เอสเพรสโซ” ได้มาจาก ภาษาฝรั่งเศส คำว่า เอสเพร แปลว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหรือเพื่อวัตถุประสงค์หนึ่งๆ แต่บางแหล่งก็อ้างว่ามาจากภาษาอิตาเลี่ยน เป็นคำกิริยา ซึ่งมีความหมายว่า ภายใต้ภาวะความดันหรือแรงดัน ซื่งก็เป็นวิธีการเตรียมเครื่องดื่ม สำหรับการชงกาแฟ เอสเพรสโซนี้ เป็นวิธีการชงกาแฟ ที่อัดผ่านเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ โดยอาศัยแรงดันของน้ำจากเครื่องชงผ่านหัวกรุ๊ป ที่มีผงกาแฟบดละเอียดอัดแน่นอยู่ ซึ่งน้ำร้อนจะไหลผ่านผงกาแฟลงมาเพื่อดึงกลิ่นและรสชาติของกาแฟ ได้เป็นน้ำกาแฟ 1 ออนซ์ ใช้เวลาเพียง 25 วินาทีเท่านั้น

นอกจากนี้การบดกาแฟก็เป็นอีกเรื่องสำคัญมาก ผงกาแฟที่บดได้จะต้องละเอียด แต่ไม่ถึงกับเป็นผงละอองแป้ง เพราะถ้าบดกาแฟละเอียดเกินไป เวลาชงกาแฟ ก็จะได้กาแฟที่เข้มข้นเกินไป และยังทำให้ได้รสชาติที่ขมอีกด้วย แต่ถ้าหยาบเกินไป เวลาชงกาแฟก็จะทำให้น้ำกาแฟก็จะถูกดันผ่านผงกาแฟออกมารวดเร็วเกินไป จะทำให้ได้น้ำกาแฟที่ใสๆ ลองสังเกตดูว่าเมื่อกาแฟไหลออกมาจากหัวกรุ๊ป สิ่งที่ดีที่สุดคือ น้ำที่ไหลออกมาก่อนจะเป็นสีดำ ซึ่งเป็นส่วนสกัดแรกของกาแฟถือเป็นตัวหลักของเอสเพรสโซ จากนั้นจะตามมาด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ครีมม่า” ซึ่งจะเป็นสีคาราเมล หลังจากที่ครีมม่าไหลออกมาแล้ว ถ้าเราปล่อยให้เครื่องเดินต่อไป กาแฟจะมีรสชาติที่ขมและฝาด สิ่งบ่งชี้ว่าเอสเพรสโซถ้วยนี้ จะดีหรือไม่ก็คือ การที่มีครีมม่านี้อยู่ด้วย ตอนที่กาแฟถูกปล่อยให้ไหลลงมาในถ้วย ก็ควรมีชั้น“ครีมม่า” สีคาราเมลลอยอยูข้างบน ซึ่งเป็นน้ำมันของเมล็ดกาแฟ
ครีมม่า
ในกระบวนการสกัดกาแฟนั้น ครีมม่าที่ได้ควรจะมีสีที่สม่ำเสมอ และควรหนาประมาณ 5 มิลลิเมตร ตอนที่เราดื่มกาแฟ ครีมม่าจะจับติดกับด้านในของถ้วย มีลักษณะเหมือนกับน้ำเชื่อม ถ้าครีมม่าที่ได้ มีสีน้ำตาลเข้มแล้วมีจุดสีขาวๆ หรือมีโพรงสีดำ ก็จะสามารถบ่งบอกได้ว่า เอสเพสโซ่ถ้วยนั้น ใช้เวลาในการสกัดมากเกินไป ซึ่งจะทำให้รสชาติเข้มและขม แต่ถ้าเป็นครีมม่ามีสีอ่อนเกินไป ก็แสดงว่ามีการสกัดน้อยเกินไป ทำให้ได้รสกาแฟที่ไม่เข้ม นี่คือหลักการสังเกตวิธีการชงการแฟที่ดีเพียงง่ายๆ การชงกาแฟของมือชงหรือ“บาริสต้า” ที่ดีนั้นต้องหมั่นหาความรู้และฝึกฝนอยู่อย่างไม่ขาด เพื่อให้ได้กาแฟถ้วยที่ดีที่สุดในการชงกาแฟแต่ล่ะครั้ง....

2554-09-23

กาแฟลาวคู่แข่งที่กำลังมาแรง

วันนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพดีของลาว ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านติดลำน้ำโขงมาฝาก เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ หากเราไม่ใส่ใจเรื่องการผลิตเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ เราอาจโดนเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม หรือลาวแย่งส่วนแบ่งไปก็เป็นได้ใครจะรู้
ในอดีตนั้นประเทศลาวเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้นำพันธ์กาแฟเข้ามาปลูกในลาวในตอนต้นศตวรรษที่ 19 แต่ก็ล้มลุกคลุกคลานเรื่อยมาด้วยผลของสายพันธุ์กาแฟ ภัยธรรมชาติและที่สำคัญภัยจากสงคราม พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ยังมีลูกระเบิดที่ยังไม่ได้รับการกู้อยู่ในมากมายดิน ทำให้ชาวไร่ชาวสวนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาหรือชาวเผ่า ไม่กล้าออกไปทำไร่ทำสวน แม้ปัจจุบันการเก็บกู้ระเบิดก็ทำไปได้มากแล้ว แต่ก็ยังมีหลงเหลืออยู่พื้นที่ไม่การปลูกกาแฟกันมากที่สุด คือบริเวณพื้นที่ราบสูงโบลาเวน(BolaVen Plateau) เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำหรับการรบระหว่างทหารอเมริกันกับเวียดนาม พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตนครจำปาศักติ์ทางภาคใต้เองประเทศลาว พื้นที่นี้มีความสูงเฉลี่ย 5,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเลซึ่งเหมาะที่จะปลูกกาแฟพันธุ์อาราบีก้ามาก
พื้นที่การเพาะปลูกกาแฟของประเทศลาวยังถือได้ว่าเป็นพื้นที่ๆสมบูรณ์มาก ผลผลิตที่ได้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผลผลิตที่ไม่ได้ใช้สารเคมีเลยเพราะความสมบูรณ์ของพื้นดิน

เดิมทีกาแฟที่ปลูก ส่วนใหญ่เป็นกาแฟพันธ์โรบัสต้าเพราะมีความต้านทานโรคสูงและสายพันธุ์ที่นำมาปลูกก็มาจากประเทศเวียดนามชึ่งไต้ซื่อว่าเป็นประเทศที่ปลูกกาแฟไต้มากเป็นอันดับสองของโลก แต่จากการศึกษาก็พบว่าพื้นที่นี้เหมาะที่จะปลูกกาแฟพันธ์อาราบีก้ามาก รัฐบาลจึงได้ส่งเสริมให้มีการปลูกกาแฟพันธุ์อาราบีก้าสายพันธุ์ คาทีมอร์(Catimor) ซึ่งมีความต้านทานโรคสูงให้มากขึ้นในบริเวณที่ราบสูงนี้ และทางรัฐบาลเองก็มีโครงการที่จะเพิ่มผลผลิตของกาแฟพันธุ์อาราบีก้า ให้ไดเกินกว่า 50 % ของผลผลิตของกาแฟโรณัสต้าที่ปลูกได้ในประเทศและที่สำคัญราคาของกาแฟอาราบีก้านั้นสูงกว่ากาแฟโรบัสต้ามากด้านการเก็บเกี่ยวผลผลิตยังคงใช้แรงงานคนชาวเผ่าพื้นเมือง ซึ่งรายได้ของคนเหล่านี้ขึ้นอยู่กับผลผลิตกาแฟอย่างเดียว และเพื่อเป็นการให้กำลังใจกับคนงาน เจ้าของไร่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติกับผู้ที่สามารถเก็บผลกาแฟที่สุกเต็มที่มาส่งที่โรงงาน ซี่งก็เป็นแรงจูงใจให้กับคนงานที่จะเลือกเก็บเฉพาะผลที่สุกเต็มที่เท่านั้น และเป็นการควบคุมคุณภาพของผลผลิตไปในตัวผลผลิตของกาแฟพันธุ์โรบัสต้าของลาวจะผ่านขบวนการล้างแบบแห้ง ส่วนกาแฟอาราบีก้าจะผ่านขบวนการล้างแบบเปียก

ปัจจุบันสิ่งที่เจ้าของไร่หรือเจ้าของส่วนต้องคำนึงถึงคือคุณภาพของการเก็บเกี่ยวและกรรมวิธีในการเก็บรักษาไปจนถึงการคั่ว เมล็ตกาแฟสุกที่เก็บไดมักจะทำให้หมตคุณภาพไปโตยการขาดการเอาใจใส่ในขั้นตอนของการล้า้ง การตาก การคั่ว และการบรรจุ โดยเฉพาะการคั่ว คุณภาพของกาแฟที่ปลูกได้อยู่ในขั้นด แต่ผ่านกรรมวิธีการคั่วแบบชาวบ้านซึ่งใช้ความรู้การคั่วแบบโบราณ โดยใส่ส่วนผสมบางอย่างลงไปในขณะคั่วทำให้กาแฟเสียรสชาติที่ดีไป ดังนั้นถ้ามีการให้ความรู้ที่ถูกต้องกับชาวไร่หรือเจ้าของโรงงานขนาดเล็กกาแฟลาวก็จะเป็นกาแฟที่สามารถเจาะตลาดโลกได้เพราะผลผลิตที่ได้ไมเป็นรองใครแม้แต่ผู้ปลูกกาแฟของไทยเองก็จะมีกาแฟของประเทศลาวเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะประเทศเพื่อนบ้านของเราไม่ว่าจะเป็นลาวหรือเวียดนามต่างก็หันมาสนใจคุณภาพของผลผลิต ถ้าเราไม่สนใจเราก็จะเสียโอกาสที่ดีไป บริษัทใหญ่บริษัทหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ใช้เงินลงทุนสูงไปลงทุนร่วมมือกับรัฐบาลลาว พัฒนากาแฟลาวทั้งในด้านการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพเพื่อนำไปสู่การส่งออก คาดว่าอีกไม่นานเราก็คงได้เห็นกาแฟลาวสู่ตลาดโลก

2554-09-12

กาแฟในประเทศไทย

วันนี้มาดูประวัติความเป็นมาของกาแฟในประเทศไทยกันดีกว่าว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร มีต้นกำเนิดมาอย่างไร
กาแฟในเมืองไทยตามหลักฐานที่มีการบันทึก ทำให้เชื่อได้ว่ามีการเพาะปลูกกันมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งโดยนำเมล็ดพันธุ์หรือต้นกาแฟจากชาวต่างประเทศที่เข้ามาค้าขายหรือเข้ามารับราชการในสมัยนั้นและมีการปลูกกันในครั้งแรกในทางใต้ที่จังหวัดสงขลาและชุมพร ส่วนทางตะวันออกคือที่จังหวัดจันทบุรี แต่เนื่องจากรสชาติอมตะของกาแฟคือรสขมทำใหม่เป็นที่นิยมดื่มของคนในสมัยนั้น

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5 พระองคด้มีการให้นำมาทดลองปลูกในพระบรมมหาราชวัง แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมของผู้คนในสมัยนั้น ความสนใจดื่มกาแฟเริ่มมีมากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 และเพิ่มมากขึ้นจนถึง
ปัจจุบันในสมัยรัชกาล 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้โครงการหลวงและกรมวิชาการเกษตร ทำการคัดเลือกสายพันธุ์กาแฟอาราบีก้าที่เหมาะสมมาทดลองปลูกทางภาคเหนือเพี่อทดแทนการปลูกฝิ่น จนปัจจุบันนี้กาแฟที่ปลูกในแถบบริเวณภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายเป็นกาแฟที่มีข้อและเป็นที่รู้จักของคนต่างชาติและกลายเป็นผลผลิตส่งออกทีสร้างรายได้ให้กับผู้ปลูกได้อย่างดี

ส่วนทางภาคใต้ซึ่งเป็นแหล่งที่ปลูกกาแฟเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ก็เริ่มปลูกกาแฟกันมากขึ้น กาแฟที่ปลูกเป็นกาแฟพันธุ์โรบัสต้าซึ่งก็ให้ผลดีสำหรับพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศไทยและมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้แข็งแรง มีความต้านทานไรคสูงและให้ผลผลิตที่ดี จนผลผลิตในปัจจุบันก็ทำรายได้ให้กับผู้ปลูกไม่แพ้ผู้ปลูกทางภาคเหนือ

ปัจจุบันมีร้านกาแฟเกิดขึ้นมากมายทั้งในกรุงเทพฯและในต่างจังหวัด เชื่อกันว่าร้านกาแฟร้านแรกที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ น่าจะเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยมีชื่อว่า “นรสิงห์” และหลังจากนั้นก็มีร้านกาแฟเกิดขึ้นอีกหลายร้าน ในจำนวนร้านกาแฟที่เกิดขี้นและยังคงมีชื่ออยู่จนถึงปัจจุบันนี้ก็คือ ร้าน “ ตุงฮู” ซึ่งเป็นร้านขายของชำและมีกาแฟบดจำหน่ายให้แก่ผู้ที่สนใจ ปัจจุบันก็จำหน่ายกาแฟบดในชื่อ“กาแฟตงฮู” ส่วนร้านขายกาแฟชงที่มีชื่อเสียงที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันคือร้านกาแฟ“ เอี๊ยแซ” ซึ่งยังคงให้เห็นและให้ผู้คนได้ลิ้มรสอยู่ตามศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าต่างๆในกรุงเทพฯ ปัจจุบันร้านกาแฟเอี๊ยแซก็ได้ใช้การตลาดสมัยใหม่คือการขยายสาขาโดยใช้ระบบแฟรนไขส์ให้กับผู้สนใจ ดังนั้น

อีกสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับกาแฟที่อยู่คู่กับกาแฟในเมืองไทยก็คือ กาแฟโบราณกาแฟโบราณอยู่คู่กับกาแฟไทยมายาวนาน กาแฟโบราณของไทยมีเทคนิคการคั่วที่แตกต่างจากการคั่วกาแฟทั่วไป แต่ละโรงคั่ว ก็มีเทคนิคการคั่วและส่วนผสมทีแตกต่างกัน การชงกาแฟโบราณถ้าจะให้อร่อยก็ต้องใช้วิธีการชงแบบโบราณและผงกาแฟที่คั่วแบบโบราณบวกกับกรรมวิธีการชงและอุปกรณ์ในการชงแบบโบราณ รสชาติที่ได้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นกาแฟโบราณอย่างแท้จริง

2554-09-03

ประวัติการเดินทางของเมล็ดกาแฟ


มาดูประวัติการแพร่กระจายตัวของเมล็ดกาแฟ ไปยังแหล่งต่างๆของโลกกัน หลังจากที่เด็กเลี้ยงแกะชาวเอธิโอเปีย ชื่อ คาลดี เจอเมล็ดกาแฟ ผู้คนก็เริ่มนิยมดื่มกาแฟกันโดยยุคแรกๆเป็นการนำเมล็ดกาแฟมาตากแห้งและบดเหมือนยาสมุนไพรทั่วไป ก่อนนำมาต้มแล้วดื่มน้ำ กาแฟได้แพร่กระจายไปบริเวณใกล่เคียง แต่กว่ากาแฟจะเป็นที่รุ้จักของคนทั่วโลกก็ใช้เวลานานถึง 10 ศตวรรษเลยทีเดียว ตำนานสมัยโบราณนั้นกาแฟเป็นของต้องห้ามของชาวอาหรับ การดื่มกาแฟ การค้าขาย และขยายพันธุ์ก็ตกอยู่เพียงชาวอาหรับเท่านั้น ชาวอาหรับหวงแหนเมล็ดกาแฟมากๆ

ประวัติของเมล็ดกาแฟ

แต่ถูกลักลอบนำออกนอกประเทศ โดยนายบาบา บูดาน ผู้มีถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่เมืองไมซู ทางภาคกลางของประเทศอินเดีย ได้เดินทางไปแสวงบุญที่กรุงเมกกะ ก่อนเดินทางกลับจากแสวงบุญ นายบาบา บูตานก็ไต้ไปแสวงหาเมล็ดกาแฟสุกที่ยังไม่ได้ผ่านการต้ม โชคเข้าข้างนายบาบา บูตาน เขาได้เมล็ดกาแฟที่ยังไม่ได้ผ่านการต้มหรือเมล็ดกาแฟดิบมาได้ 6-7 เมล็ด เขาแอบชุกไว้ที่ผ้าคาดเอว เมื่อกลับมาถึงไมซู บ้านของเขา ก็นำมาเพาะและปลูกไว้ทีหลังบ้าน เมื่อต้นกาแฟที่เพาะได้ขี้น ความที่เป็นคนมีน้ำใจดี ใจกว้าง เขาก็แบ่งต้นกล้าที่เพาะได้ให้กับพ่อค้าชาวตัตไปต้นหนึ่ง

พ่อค้าซาวดัตช์เมื่อได้ต้นกาแฟจากนายบาบา บูตาน ก็นำไปทดลองปลูกที่เกาะชวา และประสบความสิาเร็จอย่างงดงาม กาแฟต้นนี้ก็ได้กลายเป็นต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของกาแฟอินโดนีเซีย ส่วนพ่อค้าชาวดัตช์เมื่อจะเดินทางกลับประเทศของตน ก็ได้นำต้นกล้ากาแฟที่เพาะได้ใหม่นำติดตัวกลับไปด้วย และได้นำไปปลูกที่สวนพฤกษชาติในกรุงอัมสเตอร์ดัม ผลก็คือต้นกล้าต้นนี้ก็กลายเป็นต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของกาแฟในยุโรป และขยายต่อไปยังอเมริกาใต้ ส่วนต้นกล้าของนายบาบา บูดานกลายเป็นต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของกาแฟในอินเดีย ที่เล่ามาข้างต้นเป็นตำนานเล่าขานกันมาจากปากต่อปากหาหลักฐานยืนยันค่อนข้างยาก

คราวนี้เราลองมาดูประวัติของกาแฟจากหลักฐานที่มีการบันทึกดูบ้าง หลักฐานชิ้นแรกที่มีการบันทึกเรื่องราวของกาแฟนั้นเริ่มปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในต้นศตวรรษที่ 3
ซึ่งมีการบันทีกโดยนายแพทย์ชาวเปอร์เชียชื่อ ชากาเรียอัลราซี ทำให้เราทราบว่ากาแฟนั้นมีจุดเริ่มต้นจากที่ราบสูงของเอธิโอเปีย จากนั้นก็เริมแผ่ขยายไปยังประเทศยีเมน และในปีค.ศ.1587 มาลาเย จาชีรี ได้รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับกาแฟและมีการบันทึกไว้ว่า กาแฟนั้นเป็นเครื่องดื่มของพระที่อาศัยอยู่ในอารามซูฟี ประเทศยีเมนซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอาราเบีย และการคั่วและต้มกาแฟก็ได้เกิดขึ้นที่อารามแห่งนี้และได้กลายเป็นต้นแบบของการคั่วและชงกาแฟอย่างที่เราชงดื่มกันในปัจจุบัน

สาเหตุที่เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่นิยมในหมู่พระก็เพราะมีสรรพคุณในการขจัดความง่วงและเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้กับเหล่าพระในเวลาสวดมนต์ และมีชื่อเรียกกันในหมู่พระว่าผลไม้หมักจากถั่ว (wine of thebean) ซึ่งมีชื่อในภาษาอาหรับว่า คาวาห์ (Qahwa) หรือภาษาเตอร์กีซึ่งมีสำเนียงใกล้เคียงกันว่า คาเวห์ (kahve) สันนิษฐานว่า ชื่อนี้น่าจะได้มาจากเมืองคัฟฟา (Kaffa) ในเอธิโจเปีUซึ่งเป็นจตค้นพบผลไม้ชนิตนี้และเชื่อกันว่าเดิมผลไม้พุ่มชนิดนี้มีชื่อเรียกกันในภาษาพื้นเมืองว่า บัน หรือ บันนา (Bunn หรือ Bunna หรือ Bunnu) ส่วนชื่อกาแฟ Coffee นั้นเริ่มปรากฏในภาษาอังกฤษในปี ค.ศ.1598 โดยชื่อนี้ได้นำมาจากภาษาดัตช์จากคำวา โคฟี(koffie) ซึ่งนำมาจากภาษาเตอร์กีว่า คาเวห์ (kahve)

2554-08-19

ธุรกิจร้านกาแฟสดไร่ช่อลดา

วันนี้มีข้อมูลธุรกิจแฟรนไชส์ร้านกาแฟสดมาฝากสำหรับท่านที่กำลังมองหาแฟรนไชส์ธุรกิจร้านกาแฟสด ลองๆอ่านเพื่อเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจกับหลายๆแห่งเพื่อเลือกข้อมูลที่ดีที่สุดนะครับ ธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟสดไร่ช่อลดา
กาแฟสดไร่ช่อลดาธุรกิจร้านกาแฟสด ทางเลือกใหม่เพื่อคนที่อยากจะมีร้านการของตัวเอง วันนี้เริ่มต้นได้ง่ายๆราคาเริ่มต้นเพียง 13,900 บาทเท่านั้น

ธุรกิจร้านกาแฟสดไร่ช่อลดา
จุดเด่นของกาแฟสดไร่ช่อลดา
-มีชุดโปรโมชั่นมากมายให้เลือก (ด่วนมีจำนวนจำกัด)
-ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือน,รายปี
-ไม่ต้องจ่าง%จากยอดขาย
-กำไรมากกว่า 50%/แก้ว
-รับประกันเครื่องชงกาแฟ 1 ปี
-รับประกันเครื่องบดกาแฟ 6 เดือน
-มีเมนูกาแฟสดและเครื่องดื่มอร่อยให้เลือกมากมาย

แฟรนไชส์ / ราคา(ไม่รวมเคาน์เตอร์) / ราคา+เคาน์เตอร์
ชุดที่1. /13,900 /28,900
ชุดที่2. /15,900 /30,900
ชุดที่3. /18,900 /33,900
ชุดที่4. /22,900 /36,900
ชุดที่5. /25,900 /39,900
ชุดที่6. /28,900 /42,900
ชุดที่7. /29,900 /49,900


อุปกรณ์ของแถมมากมาย
1 สอนการชงกาแฟครบหลักสูตร
2 เครื่องชงกาแฟ cafeRoma ฮดำจำนวน 1 เครื่อง
3 โถปั้มฟองนม 1 อัน
4 คาแฟ extra espresso จำนวน 500 กรัม
5 กาแฟ Arabica 100% จำนวน 500 กรัม
6 ชาแดง จำนวน 500 กรัม
7 โกโกั จำนวน 500 ก$น
8 ชาเขียว จำนวน 500 กตม
9 ถ้วยตวง 2 ใบ
10 ช้อนสเตนเลส 2 คัน
11 ช้อนตักกาแฟ 1 อัน
12 นมข้นหวาน 5 กระปฉง
13 นมปรุงแต่ง 5 กระป๋อง
14 นมสด 1 กล่อง
15 หลอดงอน้ำตาล จำนวน 1 ห่อ
16 ช้อนคนกาแฟรอน 1 ห่อ
17. แก้วเย็น 50 ใบ
18. ฝาโดม 50 ใบ
19. แก้วร้อน 5 0 ใบ
20 ขวดโหล 2 ใบ
21.ป้ายเมนู 1 อัน

นอกจากนี้กาแฟสดไร่ช่อลดา ยังจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่ว, บด
ราคาขายปลีก
เมล็ดกาแฟ Espresso 280/กก.
เมล็ดกาแฟ Extra Espresso 290/กก.
เมล็ดกาแฟ Arabrica 350/กก.
ชาดำ/ชานม 170/กก.
ชาเขียวนม 270/กก.
โกโก้ 260/กก.


สนใจอยากร่วมธุรกิจร้านกาแฟสดไร่ช่อลดา
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กาแฟสด ไร่ช่อลดา 23 ถ.รังสิต-นครนายก(คลอง1) ซ.5 ต.ประชาธิปัติย์ อ.ธัญญบุรี จ.ปทุมธานี 12130 โทร.086-391-7677,081-900-5497,085-088-8410,Fax 02-997-1347,หรือที่ www.raicholadacoffee.com ,email:cholada_coffeee@hotmail.com

2554-07-29

วิธีการตุ๋นนมวัวเพื่อใช้ในร้านกาแฟ

นมที่มีอยู่ในท้องตลาดมี 3 ชนิด ได้แก่ นมโคสด 100 % นมโคพร่องมันเนย นมโคขาดมันเนย
1. นมโคสด 100 % คือ นมที่รีดสดๆจากแม่โคและจำหน่ายโดยตรงจากเกษตรกรถึงผู้บริโภค การฆ่าเชื้อโรคจะเลือกใช้วีธีการต้มหรืออุ่น ทีส่วนใหญ่เราเรียกว่า

2.นมโคพร่องมันเนย คือนมที่รีดจากแม่วัว และแยกมันเนยออกเพียงบางล่วน
3.นมโคขาดมันเนย คือนมที่รีดจากแม่วัวและแยกมันเนยออกเกือบหมด เรียกว่า หางนม(skim milk)

การตุ๋นนมวัว

ภาพจากnever-age.com

*นมสด 100% ให้ดูที่ข้างกล่อง จะเขียนคำว่า นมสดี แต่มีนมอยู่ 2 ชนิดที่มักจะไม่เข้าใจ คือนมพร่องมันเนย กับนมขาดมันเนย นมพร่องมันเนยดือ นมที่ตักมันเคยออกบางส่วนแล้วเอาเนยไปทาอยางอื่น อาจจะมีมันเนยอยูไม่กี่เปอรเซ็นต ส่วนนมขาดมันเคยคือแยกมันเคยออก เรียกว่า หางนม ส่วนใหญ่่มักจะนำ้ไปผสมกลี่นต่างๆ เช่น วานิลลา ชอคโกแลต น้ำตาลเข้าไป กินแล้วไม่เหมาะต่อสุขภาพ อาจเป็นโรคเบาหวานได้

*หางนม (skim milk) คือนมที่ แยกเอาไขมันออก มีสารอาหารครบเกือบทุกตัว ยกเว้น ไขมัน และวิตามินที่ละลายในไขมัน หางนมเป็นแหล่งที่ดีที่สุดของโปรตีนจากสัตว์ ซึ่งมีคุณภาพสูง และมีแร่ธาตุพวก ca และ p ด้วย นอกจากนี้ยังมีและโตสอยู่เกือบเท่ากับที่มีอยู่ในน้ำนม ดังนั้นหางนมจึงใข้เปันอาหารที่ดี
ที่สุดของ สัตว์อ่อน และยังเป็นอาหารที่ดีที่สุด และเป็นแหล่งของโปรตีนนมและแร่ธาตุราคาถูกสำหรับมนุษย

การพาสเจอไรซ์ หมายอึงการทำให้อนุภาคของนมทุกอนุภาคผ่านความร้อนที่อุณหภูมิ 140 องศาฟาเรนไฮต์ เป็นเวลานานอย่างน้อย 30 นาที หรือที่อุณนภูมิ 161 องศาฟาเรนไฮต เป็น
เวลา 15 นาที

ถ้าในกรณีที่ผลิตภัณฑ์นมมีปริมาณไขมันสูง ควรใน้ผ่านความร้อนที่อุณหภูมิ 150 องศาฟาเรนไฮต์ เป็นเวลา 30 นาทีหรืออุณหภูมิ 166 องศาฟาเรนไฮต์ เป็นเวลา 15 นาที จนกระทั่งสามารถทำลายจุลีนทรีย์ที่เปันพีษได้ แต่ไม่ทำให้กลิ่นรสและส่วนประกอบของนมเปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิที่ใช้ในการพาสเจอไรซ์จะทำลายเชื้อรา ยีสต์ที่มีอยู่ในนมทั้งหมด ดังนั้นเราทำพาสเจอไรซ์เพื่อ

1.ทำลาย pathogenic bacteria ทุกชนิดที่ทำให้เกิดโรคคนและโรคสัตว์
2.ลดประมาณจุลินทรียทั่วๆไปใช้น้อยลง
3.ทำลายเอ็นไซม์ต่างๆในน้ำนม เช่น ipase,alkaline phosphatase
4.ทำให้อายุการเก็บรักษายาวนานขึ้น (ประมาณ 3 วันตามกฎหมาย)
5.รักษาคุณสมบัติให้เหมือนน้ำนมสดตามธรรมชาติการพาสเจอไรซ์ใม่เหมือนกับการสเตอริไรสั เนื่องจากวาการพาสเจอไรซจะทำลายจุลินทรียด้เพียง 95-99 0/0 เท่านั้น

ส่วนการสเตอริไรส์จะทำลายจุลินทรีย์ได้ทั้งหมด ประสิทธิภาพในการทำลายจุลินทรีย์ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ และเวลาในการพาสเจอไรซ์

ถ้าเราไม่มีเครื่องฆ่าเชื้อโรค ก็สามารถใช้หม้อต้มธรรมดา แล้วจึงใช้เทอร์โมมิเตอร์จับอุณหภูมิ ก็สามารถทำได้เช่นกัน

เราจะต้องมีเตาแก๊สปิกนิกอีก 1 ใบ สำหรับเอาไว้ใช้กับหม้อสังขยา จึงจะสมบูรณ์แบบ และการตุ๋นนมโคนั้นจะมีความพิเศษตรงที่ว่าน้ำนมที่ตุ๋นออกมาแล้วจะมีความอร่อยหอมนมสดแท้ๆและไม่ต้องคำนึงว่านมในหม้อจะเกีดการไหม้ไฟ

วิธีการตุ๋นเราจะใช้น้ำเป็นตัวนาความร้อน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องใช้หม้อ 2 ขนาดซ้อนกันใบลางจะใหญ่กว่าใบบน ใส่น้ำในหม้อใบล่าง ต้มด้วยไฟอ่อนๆจน เดือดที่ เห็นคือนมสดแท้ที ตุ๋นเสร็จเเล้ว ให้ผู้อ่านสังเกตคราบสีน้ำตาลข้างๆหม้อว่า นี่ขนาดใช้วิธีการตุ๋นด้วยน้ำร้อนยังทำให้เกิดคราบในหม้อของนมได้ ถ้าเราใช้วิธีการต้มโดยตรง เราจะดูแลน้ำนมในหม้อของเรค่อนข้างลำบากครับ

นมสดตุ๋นที่ตุ๋นสำเร็จแล้ว พร้อมนำไปประกอบเป็นเครื่องดื่มชนิดต่างๆอยากให้สังเกตแผ่นคราบทลอยบนหน้านานมวามลักษณะคล้ายของเต้าหู้ คราบนี่แหละคือ หัวของนมสดที่ถูกความร้อนแล้วแยกตัวลอยหน้าขึ้นมา เจ้าคราบหัวนมนี่เองที่คนส่วนใหณมักไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่ลูกค้าชอบให้ตักใส่ให้เพราะว่ามันอร่อย
ทีจริงแล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เมื่อตัวออกไปหมดแล้ว น้ำนมที่เหลือก็จะเจือจางลง และความหอมเข้มข้นก็จะหายไปด้วยทางที่ดี หวังไว้ดีกว่า จะตักนมขายให้ลูกค้าครั้งใด ผู้เขียนแนะนำว่าให้ใ้วิธีคนให้ทั่วๆอย่างเบาๆ แล้วตักขายพร้อมกัน

การเตรียมนมโคนั้น ถ้าร้านกาแฟร้านใด จะเลือกใช้เป็นน้ำนมโคสดๆที่ตุ๋นแล้วนำไปใช้ชงเครื่องดื่มเพียวๆเลย ก็สามารถที่จะทำได้เลยและจะเข้มข้นดีด้วย แต่ยังมีร้านขายนมสดบางด้านจะมีเคล็ด

วิธีการเตรียมนมสดที่จะขายแต่ละวันไว้ 2 ชนิดคือ นมสดสำหรับงเครื่องดื่มชนิดเย็นทุกชนิด คือ นมเย็น กาแฟเย็น หรือเครื่องดื่มชนิดเย็นทุกชนิด จะต้องเตรียมนมวัวแท้ 100% 1 ส่วน น้ำสะอาด ฯ ส่วนนำมาผสมกัน และต้มด้วยไฟอ่อนปานกลางใน้เดือดพอนมเดือดจึงใส่ใบเตยหอมพอประมาณ หรือไฟให้เบาที่สุด เพื่อน้ำนมจะได้ร้อนตลอด หรือจะนำไปตุ๋นด้วยน้ำร้อนก็ได้ และเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ด้วยหรือถ้าลูกค้าท่านใดต้องการเป็นนมร้อน เครื่องดื่มผสมด้วยนมร้อนทุกชนิด ผู้อ่านจะต้องใช้เป็นนมโคสดแท้ 100% ห้ามมีส่วนผสมของน้ำมาชงให้ลูกค้าโดยเด็ดขาด เพราะนมร้อนจะไม่มีส่วนผสมต่าง ๆ เหมือนกับการชงนมเย็น เพราะในการดื่มนมร้อนถ้าไม่ใช้นมโคแท้ 100% มาชง มันจะทำให้รสชาติขาดหายไปส่วนการชงนมเย็นจะต้องมีส่วนผสมของนมสด นมข้นน้ำตาลทราย เข้ามาผสมเพิ่ม เพื่อที่ว่ารสชาติที่ได้ออกมาจะเข้มข้นเพราะต้องนำไปผสมกับน้ำแข็ง

2554-06-24

Thom Artisan Coffee

วันนี้มีตัวอย่างร้านกาแฟสดที่น่าสนใจมาฝากครับ ให้ลองศึกษษข้อมูลเพื่อเป็นไอเดีบธุรกิจร้านกาแฟ เผื่อจะนำไปใช้ได้ต่อไปในการจัดการร้านกาแฟของคุณเองต่อไป

Thom Artisan Coffee

ร้านกาแฟ Thom Artisan Coffee ของคุณ ธวัชชัย โศภนะศุกร์ ร้านกาแฟติดล้อ ที่ไม่ต้องห่วงเรื่องสถานที่
หลังจากลองทำงานมาหลายอย่างแล้ว แต่ก็ใม่ประสบความสำเร็จ คุณธวัชชัยจึงตัดสินใจเปิดร้านกาแฟ Thom
Artisan Coffee โดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2548 ปัจจุบันก็เกือบครบสามปีแล้ว ด้วยความที่ชอบกาแฟเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงประกอบกิจการกาแฟอย่างมีความสุข ถึงตอนนี้เขาเปิดร้านกาแฟในจังหวัดเชียงใหม่ไปแล้วสองแห่ง
แห่งหนึ่งเป็นร้านกาแฟบนรถตู้ซึ่งจอดขายประจำอยู่ด้านหลังมหาวิทยาลัยเขียงใหม่ อีกแห่งหนึ่งเป็นร้านคั่วและจำหน่ายกาแฟ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของริมปิง ซุปเปอร์มาร์เก็ต

Thom Artisan Coffee

เขาตัดสินใจเปิดร้านกาแฟบนรถตู้ Thom Artisan Coffee ไม่ใช่เพื่อความแตกต่างหรือความแปลกใหม่อะไร แต่เป็นเพราะเหตุผลด้านการเงิน เนื่องจากไม่มีเงินทุนมากพอที่จะเปิดเป็นร้านได้ เขาจึงนำรถตู้ที่มีอยู่ที่บ้านมาดัดแปลงเป็นร้านกาแฟ แต่ก็มีข้อจำกัดคือไม่สามารถจัดพื้นที่ให้ลูกค้านั่งพักได้อย่างเต็มที่ จะมีก็เพียงพื้นที่ด้านข้างรถซึ่งรองรับลูกค้าได้ประมาณ 4-5 คนและพื้นที่ด้านหลังรถอีกเล็กน้อย ถึงแม้จะมีข้อเสียด้านพื้นที่ที่มีจำกัด แต่ร้านกาแฟบนรถตู้ก็ยังมีข้อดีที่แตกต่างจากร้านกาแฟทั่วไปคือ เขาสามารถย้ายร้านกาแฟของเขาไปตามที่ต่างๆ ได้ จริงอยู่ที่เขามักจะจอดขายประจำอยู่ด้านหลังมหาวิฬยาลัยเชียงใหม่ แต่หากมีคนต้องการให้ Thom Artisan Coffee ไปบริการตามที่ต่างๆ เขาก็สามารถทำใด้ อย่างเช่น ตามกองฝ่ายนอกสถานที่เพื่อให้บริการเครื่องดื่มแก่นักแสดงและทีมงาน หรือคณะทัวร์ที่ต้องการสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวในด้านการตกแต่ง คุณธวัชชัยคิดว่าคนไทยเติบโตมากับบ้านไม้ เขาจึงตกแต่งร้านกาแฟบนรถตู้ของเขาด้วยไม้ โดยนำมาทำเป็นพื้นและเพดานของรถ เขารู้สึกว่าการใช้วัสดุที่ทำจากไม้มาตกแต่งจะช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้าน ไม้ที่เขาเลือกใช้เป็นไม้ที่มีเนื้อไม้สีอ่อนอย่างเช่น ไม้สีดาเพื่อทำให้ดูสว่าง ส่วนร้านคั่วกาแฟในริมปิง ซุปเปอร์มาร์เก็ตตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น เนื่องจากเช่าพื้นที่ของทางซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาจึงไม่สามารถปรับแต่งพื้นที่โดยใช้ไม้ได้ เพราะจะทำให้ดูแปลกแยกจากร้านอื่นๆ ในบรีเวณนั้น

นอกจากร้านกาแฟแบบเคลื่อนที่แล้ว จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ Thom Artisan Coffee ก็คือเมล็ดกาแฟที่เลือกใ้ช้เพราะนอกจากกาแฟสใตล์อิตาลีทั่วไปอย่างเอสเพรสโซแล้ว ร้านแห่งนี้ยังมีกาแฟสูตรพิเศษอย่างพีเบอร์รี่คอฟฟี่ อีกด้วยเมนูนี้ทำจากเมล็ดกาแฟพีเบอร์รี่ซึ่งมีลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายเมล็ดถั่ว เนื่องจากกาแฟพีเบอร์รี่ค่อนข้างหายาก ราคาของเมล็ดกาแฟชนิดนี้จึงค่อนข้างสูง และนี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีการโฆษณาประชาลัมพันธ์กาแฟชนิดนี้อย่างแพร่หลายในท้องตลาด Thom Artisan Coffee จอดขายประจำอยู่ด้านหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่กลุ่มลูกค้าหลักของร้านนี้กลับไม่ใช่นักศึกษา แต่เป็นกลุ่มคนทำงานเสียมากกว่า เพราะนอกจากมหาวิทยาลัยแล้ว ในบริเวณนั้นยังมีธนาคาร สถานที่ราชการและสำนักงานอีกหลายแห่งผลตอบรับจากลูกค้าก็เป็นที่น่าพอใจ

คุณธวัชชัยกล่าวว่าในช่วงแรกเขาขายกาแฟได้ปีละ 400-500 กิโลกรัม ปัจจุบันเขาขายได้ปีละ 3 ตัน ซึ่งก็นับว่าเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับกิจการร้านกาแฟในประเทศไทย เขากล่าวว่า “ระยะหลังมานี้ลูกค้าจะเริ่มติดในตัวคนขาย และติดรสชาติของกาแฟด้วย” คุณธวัชชัย เชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะลูกค้าทราบว่ากาเเฟของเขาไม่เหมือนกับที่อื่น เขาจะให้ความสำคัญและใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่การคั่ว การชง คุณภาพของกาแฟ รวมทั้งการบริการ ดังนั้นจึงมีลูกค้า แวะเวียนมาอุดหนุนที่ร้าน Thom Artisan Coffee อยู่เป็นประจำนอกจากความรักและความใส่ใจในการประกอบธุรกิจกาแฟแล้ว คุณธวัชชัยยังตั้งใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเองอีกด้วย โดยไปศึกษาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับกาแฟจากศูนย์วิจัยและพัฒนากา แฟบนทีสูง ภาควิชาพืชสวนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนำมาปรับใช้กับร้านกาแฟของเขานอกจากด้านทั้งสองแห่งในจังหวัดเชียงใหม่แล้ว

ตอนนี้คุณธวัชชัยก็กำลังวางแผนขยายสาขาเพิ่มอีกสองแห่ง โดยอยู่ในเชียงใหม่หนึ่งแห่ง และในกรุงเทพฯ อีกหนึ่งแห่ง แต่เมื่อถามถึงการจำหน่ายเป็นแฟรนไชส์ คุณธวัชชัยกล่าวว่า เขาทราบดีว่าการควบคุมคุณภาพให้สมบูรณ์แบบในระบบแฟรนไชส์นั้นทำได้ยาก ประกอบกับข้อจำกัดของกาแฟพีเบอร์รี่ ทำให้เขาไม่ต้องการที่จะทำให้ Thom Artisan Coffee เป็นร้านระบบแฟรนไชส์

คุณธวัชชัยกล่าวว่า การเปิดร้านกาแฟให้ประสบความสำเร็จจะต้องมีจุดยืนเป็นของตนเอง ต้องชอบดื่มกาแฟ มี
ความตั้งใจจริง มีความรักในอาชีพนี้และต้องศึกษาหาความรู้อย่างลึกซึ้ง เพียงแค่นี้ร้านของคุณก็จะสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองในรูปแบบของคุณเองตราบใดที่ล้อทั้งสี่ของร้านกาแฟบนรถตู้ Thom Artisan Coffee ยังคงหมุนไปอย่างต่อเนื่องด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจของเจ้าของร้าน ธุรกิจของเขามักจะไม่มีวันหยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างแน่นอน

อ่านแล้วเป็นไงบ้างครับ ได้ไอเดียอะไรในการปรับปรุงร้านกาแฟของตัวเองบ้างหรือยัง ถ้ายัง ก็ต้องศึกษากันต่อไป เพราะธุรกิจกาแฟเป็นธุรกิจที่มาพร้อมการหาความรู้แบบไม่หยุดนิ่ง


ที่มาภาพและข้อมูล หนังสือ คู่มือการเปิดร้านกาแฟฉบับสมบรูณ์

2554-06-09

เปิดร้านกาแฟ ต้องใช้ทุนเท่าไหร่?

การเปิดร้านกาแฟสักแห่งย่อมต้องใช้เงินลงทุน แต่จานวนเงินลงทุนก็แตกตาเกินไปตามขนาดของร้าน ตั้งแตร้านขนาด เล็กหรือเคาน์เตอร์บาร์กลางแจ้งแบบไม่มีทีนั่ง ไปจนถึงร้านขนาดใหญ่แบบมีที่นั่ง มีพื้นที่ 150-200 ตารางเมตร ซึ่งใช้เงิน ทุนตั้งแต่สามแสนถึงห้าแสนไปจนถึงหกล้านเลยก็มี ส่วนการใช้เงินที่มากถึงหลักสิบล้านในการสร้างร้านกาแฟนั้น สิ่ง สำคัญก็คงกำหนดจากรูปแบบการดำเนินกิจการ จำนวนและระดับของอุปกรณ์ และยังมีขนาดของกิจการ บรรยากาศของ กิจการรวมทั้งอุปกรณ์การตกแต่งด้วย

เปิดร้านกาแฟสด

ภาพจากtoplaza.com

**ตัวอย่างกรณ๊ศึกษา ร้านกาแฟในใต้หวัน ความแตกต่างอยู่ที่ ราคาเช่าที่ ที่แพงกว่าและการตกแต่งที่สูง ทำให้ใช้เงินลงทุนมากกว่าบ้านเรามากนัก แต่ก็พอเป็นการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบได้

อวี๋หย่งควนเจ้าของร้านหนัวเวยเซินหลินและเฉินยุ่ยหยงเจ้าของร้านหมี่หลางฉีอาศัยประสบการณ์หลายปีในการเปิดร้านกาแฟมาวิเคราะห์สภาวะการแข่งขันในตลาดปัจจุบันว่าการเปิดร้านกาแฟในปัจจุบันอย่างน้อยต้องมีเงินสามล้านหยวนจึงจะสามารถเปิดร้านกานนฟที่มีพื้นที มีคุณภาพและมีความสามารถในการแขงขันได้

เงินลงทุนในการเปิดร้านจริงๆ แล้วควรจะคำนวณอย่างไร? หากดูจากคำแนะนำของเจ้าของร้านอาวุโสทั้งหลาย แล้ว ก็มีดังนี้ :

**เงินลงทุนทั้งหมด = ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน + เงินทุนหมุนเวียนในช่วง 3-6 เดือน

*ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเปิดร้านกาแฟ = ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นกิจการ + อุปกรณ์ + การติดตั้งภายในร้าน + เคาน์เตอร์บาร์ + การติดตั้งห้องครัว + การตกแต่ง + การซื้อวัตถุดิบเข้าร้านครั้งแรก

. ใ้ช้จ่ายในการเริ่มต้นกิจการ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจ้างพนักงานประจำ ค่าเช่าก่อนเปิดกิจการ เงินประกัน เป็นต้น
. อุปกรณ์: เครื่องชงกาแฟ เครื่องบดเมล็ด ภาชนะ เป็นต้น
. การติดตั้งภายในร้าน: เครื่องปรับอากาศ เครื่องเสียง เคาน์เตอร์เก็บเงิน เป็นต้น
. เคาน์เตอร์บาร์ : การติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ทีจำเป็นบริเวณด้านหน้าและด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์ เป็นต้น
. การติดตั้งห้องครัว: ถ้าจำหน่ายอาหาร ถึงแม้จะเป็นอาหารแบบง่ายๆ ก็อาจจะต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์เครื่องครัวแบบง่ายๆ เช่น เตาอบ ตู้เย็น เป็นต้น
. การตกแต่ง: ค่าออกแบบ ค่าก่อสร้าง ป้ายชื่อร้าน ไฟฟ้า ของตกแต่ง เป็นต้น
. การซื้อวัตถุดิบเข้าร้านครั้งแรก: เมล็ดกาแฟ น้ำตาล นมสด กระดาษทิชชู่ ถ้วยกาแฟแบบใช้แล้วทิ้ง (take away) เป็นต้น

*เงินหมุนเวียนในช่วง 3-6 เดือน = (ค่าใช้จ่ายพนักงาน + ค่าเช่าร้าน + ค่าน้ำ + ค่าไฟ + + วัตถุดิบต่างๆ เช่น เมล็ดกาแฟ)x 3-6 เดือน
. ค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน : เจ้าของร้าน เงินเดือนพนักงาน เงินประกันสุขภาพ
. ค่าเช่าร้าน: ค่าเช่าแต่ละเดือน
. ค่าสาธารณูปโภค: ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ การจดการตางๆ เป็นต้น
. ค่าใช้จายด้านวัตถุดิบต่างๆ: เมล็ดกา*ฟ นมสด เนย น้ำตาล ขนมเค้ก เป็นต้น

ผู้เชี่ยวชาญโดยส่วนใหญ่จะแนะนำว่า ที่ต้องเตรียมเงินหมุนในช่วง 3-6 เดือนเอาได้ด้วย ก็เนื่องจากร้านกาแฟโดย ทั่วไปจะต้องเปิดกิจการเกินครึ่งปีเสียก่อน จึงจะดูออกว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นก่อนเปิดร้านจึงต้องมี แผนการที่จะพยุงสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกเอาไว้ด้วย ถ้าไม่มีลูกค้า ไม่มีรายได้ แต่ร้านแห่งนี้ก็ยัง สามารถจ่ายค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟและค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเจ้าของร้านได้

*โจวเวินเผย รองกรรมการผู้จัดการของกาแฟอิลลี่ประเมินว่า โดยทั่วไปแล้ว คนทีเตรียมเงินทุนไว้ 1500,000 หยวนถึง (1 หยวน ประมาณ 5 บาท) - 4,000,000 หยวนจะสามารถเปิดร้านกาแฟที่มีคุณภาพไจ้ ถ้าเงินลงทุนเกิน 4,000,000 หยวน ระยะเวลาในการคืนทุนก็จะ ยืดออกไปอีก ซึ่งเจ้าของกิจการจะต้องพิจารณาอย่างละเอียดและประเมินดูว่าตัวเองมีเงินทุนและความอดทนเพียงพอหรือ ไม่ที่จะดำเนินกิจการต่อไปในระยะยาว และรอจนกระทั่งได้เงินทุนคืน

*กัวอวี้หยูเจ้าของร้านกาแฟสไตล์อิตาลีข่าว่าลี่อาศัยประสบการณ์การเป็นพนักงานบวิการในบริษัทครีเอชั่นฟู้ดและในร้านกาแฟที่มีขนาดแตกต่างกัน จึงเข้าใจเรื่องการใช้ เงินลงทุนในแต่ละร้านและสรุปว่า ภายใต้พื้นที่ที่แน่นอน โดยส่วนใหญ่จะสามารถรักษาขอบเขตของเงินทุนให้คงที่ได้ ซึงเราสามารถนำการประเมินแบบง่ายที่สุดนี้มาประเมินเงินลงทุนที ต่ำที่สุดในการเปิดร้านได้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร

ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็คำนวณจากการตกแต่งและการซื้ออุปกรณ์ต่างๆ แต่เงินลงทุนที่แท้จริงนั้นจะไปอยู่ที่รูปแบบของร้านเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากฟวนของการตกแต่งเป็นปัจจัย ที่มีผลต่อเงินลงทุนมากที่สุด ดังนั้นบ้านที่มีขนาดเท่ากัน บางคนอาจจะตกแต่งไป 400,000 หยวน แต่บางคนกลับใช้ไปถึง 2,000,000 หยวน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของร้าน

10-15 ตารางเมตร ประมาณ 1,000,000 หยวน - 1 500,000 หยวน
15-30 ตารางเมตร ประมาณ 1,500,000 หยวน - 2,000,000 หยวน
30-45 ตารางเมตร ประมาณ 2,000,000 หยวน - 2,500,000 หยวน


ที่มา หนังสือคู่มือการเปิดร้านกาแฟฉบับสมบรูณ์

2554-05-31

การจดทะเบียนเพื่อเปิดร้านกาแฟ

การเปิดร้านก็เท่ากับการมีบริษัทเป็นของตัวเอง ตามกฎหมายแล้วบริษัทแห่งหนึ่งไม่ว่าจะมีขนาดเท่าไรก็ต้อง
ทำการค้าเช่นกัน จะต้องไปจดทะเบียนกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงสามารถทำกิจการได้
การจดทะเบียนบริษัทโดยทั่วไปแบ่งเป็นสองแบบคือจดทะเบียนเพื่อจัดตั้งบริษัทและจดทะเบียนพาณิชย์ โดยทั่วไประยะเวลาที่ใช้สำหรับการจดทะเบียนจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เมือจดทะเบียนบริษัทหรือจดทะเบียนพาณิชย์เสร็จแล้วจึงจะสามารถประกอบกิจการได้อย่างเป็นทางการ

การเปิดร้านกาแฟต้องตั้งใจว่าจะทำในระยะยาว ต้องปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องและทำธรกิจอย่างถูกกฎหมายหลังจากได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนแล้ว ความฝันที่จะเปิดท้นก็กลายเป็นจริง หากทำธุรกิจโดยไม่ได้จดทะเบียนก็เท่ากับทำผิดกฏหมายการค้า จะถูกลงโทษโดยปรับหรือจำคุก 1 ปี หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี และต้องบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวมด้วย

ต้องการจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือบริษัทการทำธุรกิจภายในประเทศโดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งลักษณะของการจัดตั้งกิจการได้เป็นสองแบบคือ แบบนิติบุคคลและแบบไม่ใช่นิติบุคคล แบบนิติบุคคลก็เช่นบริษัทจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัด เป็นต้น
ร้านกาแฟบางแห่งทีใช้ชื่อว่าห้างร้าน. ร้าน. ร้านขนม..เหล่านี้ก็คือกิจการที่ไม่ใช่นิติบุคคล ส่วนที่ใช้ชื่อว่า บริษัท...ก็คือกิจการที่เป็นนิติบุคคล

ถ้าเช่นนั้นกิจการร้านกาแฟที่คุณอยากเปิดจะจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือบริษัท ลักษณะการจัดตั้งของทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร สามารถพิจารณาได้จากหลายๆ ด้านดังต่อไปนี้
ขนาดของกิจการร้านกาแฟโดยทั่วไปจะมีขนาดเล็กมากส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนโดยเป็นเจ้าของคนเดียวหรือไม่ก็มีหุ้นส่วนบ้าง ดังนั้นเจ้าของกิจการร้านกาแฟมากกว่าครึ่งจึงจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญทุนจดทะเบียนก็น้อยมาก แต่หากจะมองในด้านกฎหมายแลั้ว หนี้สินของกิจการแบบห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น เจ้าของหรือหุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดชอบทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทโดยทั่วไปแบ่งเป็นสองแบบคือ

บริษัทจำกัดและบริษัทจำกัดมหาชน ถ้าบริษัทดำเนินกิจการแล้วขาดทุน เจ้าของ และผู้ถือหุ้นจะรับความเสี่ยงเฉพาะในส่วนทีตัวเองลงทุนไป สำหรับบริษัทจำกัดมหาชน ซึ่งกิจการที่จดทะเบียนในลักษณะนี้จะมีขนาดใหญ่และดูเป็นองค์กรมากกว่า
หากมีความต้องการเรื่องเงินทุน ต้องการกู้ยืมเงินหรือมีหุ้นด่วนจากภายนอกมาร่วมลงทุนด้วย จำนวนเงินลงทุนรวมทั้งลักษณะของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือบริษัทก็จะแตกต่างกันไปด้วย โดยทั่วไปแล้วการจดทะเบียนในนามของบริษัทนั้น เวลากู้ยืมเงินจากธนาคารจะได้รับความเชื่อถือมากกว่า จำนวนเงินที่จะกู้ยืมต้องไม่เกินกว่าทุนจดทะเบียนหรืออาจน้อยกว่าทุนจดทะเบียน ดังนั้นถ้าทุนจดทะเบียนน้อยเกินไป จำนวนเงินทีจะขอกู้ยืมจากธนาคารก็จะน้อยลงไปด้วย
หากมีโอกาสได้วางแผนหรือประมูลเพื่อร่วมทุนกับร้านกาแฟขนาดใหญ่หรือองค์กรชองรัฐบาล ก็จะต้องอยู่ในนามบริษัทเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้

นอกจากนี้ชื่อของห้างหุ้นส่วนสามัญจะได้รับการคุ้มครองเฉพาะในเขตพื้นที่เดียวกันเท่านั้น ในเขตอื่นๆ อาจจะมีคนทีเปิดร้านกาแฟแล้วใช้ชื่อเดียวกันกับคุณก็ได้ แต่ถ้าเป็นบริษัทการคุ้มครองเรื่องชือบริษัทจะ ครอบคลุมไปทั่วประเทศ หากต้องการจะเปิดร้านในเขตพื้นที่อื่นก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนใช้ชื่อซ้ำกับคุณ

ที่มาจากหนังสือคู่มือการเปิดร้านกาแฟฉบับสมบรูณ์

2554-05-20

ชาโต้ เดอ ลาเต้ (Chateau Coffee & Bagery)

ชาโต้ เดอ ลาเต้ (Chateau Coffee & Bagery),กาแฟชาโต้ เดอ ลาเต้,ชาโต้ เดอ ลาเต้
ชาโต้ เดอ ลาเต้เป็นแฟรนไชส์ร้านกาสดที่มีกาแฟสด เครื่องดื่มต่างๆ และเบเกอรี่ ครบครัน มีระบบการจัดการเป็นแบบมืออาชีพ ประสบการณ์ยาวนาน เป้นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ธุรกิจกาแฟที่น่าสนใจ น่าลงทุน
ทุกอย่างผ่านการทดสอบมาเป็นอย่างดีแล้ว ผู้ประกอบการไม่ต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ลดความเสี่ยงได้เรื่องการทำธุรกิจไปได้

รายละเอียดร้านกาแฟและเบเกอรี่

บริษัทจะต้องปฏิบัติหรือจัดเตรียมดังนี้1. เตรียมสถานที่และชุด Mobile Unit ปรับอากาศให้ 1 ชุดมาตรฐานพร้อมทั้งเครื่องมือในการทำธุรกิจครบถ้วน ผู้ซื้อแฟรนไชส์(Fransee) สามารถเขาไปดำเนินกิจการได้ทันที
2. ติดตั้งระบบออนไลน์คอมพิวเตอร์ในการจัดการและควบคุมการขายให้ 1 ชุด
3. จัดส่งสินค้าได้แก่ กาแฟสด และเบเกอรี่ ให้ตามที่มีการสั่ง (Order) โดยจัดส่งให้ถึงที่
4. จัดการฝึกอบรมพนักงานให้เป็นระยะๆ ลักษณะร้าน มีขนาดเท่ากับ 3?6 เมตร หรือ 18 ตารางเมตร เป็นลักษณะเคลื่อนที่ได้(Mobile Unit)ติดตั้งตามแหล่งชุมชนหรือทางผ่านต่างๆ เช่น
ปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล สถานที่ราชการสถานีขนส่ง สถานศึกษาต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยวิทยาลัย หรือโรงเรียน ฯลฯ ให้บริการทั้งในห้องปรับอากาศ (Eat In) และซื้อกลับ (Take Away)มีเฉพาะ กาแฟสด เครื่องดื่มต่างๆ และเบเกอรี่

ลักษณะร้าน ชาโต้ เดอ ลาเต้ (Chateau Coffee & Bagery)
มีขนาดเท่ากับ 3x6 เมตร หรือ 18 ตารางเมตร เป็นลักษณะเคลี่อนที่ได้ (Mobile Unit) จัดตั้งตามแหล่งชุมชนหรือทางผ่านต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล สถานที่ราชการ สถานีขนส่ง สถานศึกษาต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือ โรงเรียน ฯลฯ ให้บริการทั้งในห้องปรับอากาศ (Eat In) และซื้อกลับ (Take Away) มีเฉพาะกาแฟสด เครื่องดื่มต่างๆ และเบเกอรี่

นโยบายการดำเนินธุรกิจ
1. บริษัทจะหักเปอร์เซ็นต์จากยอดขายรายวัน 30%
2. ท่านต้องชำระเงินเข้าบัญชีบริษัททุกวันโดยนำเงินไปเข้าที่ธนาคารในวันทำการถัดไป ไม่เกิน 12.00 น.
3. บริษัทจะควบคุมมาตรฐานสินค้าและบริการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

คุณสมบัติผู้ร่วมทุน
1. มีความตั้งใจในการดำเนินงาน
2. มีเวลาในการดูแล

การลงทุน1. จ่ายเงินประกันการเข้าไปใช้สถานที่หรือ (Mobile Unit) เป็นจำนวนเงิน 95,000 บาท (เก้าหมื่นห้าพันบาท) บริษัทฯ จะคืนให้เมื่อเลิกกิจการภายใน 7วันโดยไม่มีดอกเบี้ย
2. เสียค่าแฟรนไชส์หรือค่า Rayalty ปีละ 30,000 บาท (จ่ายก่อนเข้าทำกิจการแต่ละปี)


ร้านกาแฟและเบเกอรี่ บริษัทจะต้องปฏิบัติหรือจัดเตรียมดังนี้
- เตรียมสถานที่และชุด Mobile Unit ปรับอากาศให้1 ชุดมาตรฐานพร้อมทั้งเครื่องมือในการทำธุรกิจครบถ้วน ผู้ซื้อแฟร๊นไชส์(Fransee) สามารถเข้าไปดำเนินกิจการได้ทันที
- ติดตั้งระบบออนไลน์คอมพิวเตอร์ในการจัดการและควบคุมการขายให้ 1 ชุด
- จัดส่งสินค้าได้แก่ กาแฟสด และเบเกอรี่ ให้ตามที่มีการสั่ง (Order) โดยจัดส่งให้ถึงที่
- จัดการฝึกอบรมพนักงานให้เป็นระยะๆ ลักษณะร้านมีขนาดเท่ากับ 3?6 เมตร หรือ 18 ตารางเมตร เป็น
ลักษณะเคลื่อนที่ได้(Mobile Unit) ติดตั้งตามแหล่งชุมชนได้สะดวกให้บริการทั้งในห้องปรับอากาศ(Eat In) และซื้อกลับ (Take Away) มีเฉพาะ
กาแฟสด เครื่องดื่มต่างๆ และเบเกอรี่


สนใจแฟรนไชส์ ชาโต้ เดอ ลาเต้ (Chateau Coffee & Bagery)
ประเภทธุรกิจ ร้านขายกาแฟ โทรศัพท์ 0-2214 -2892

2554-05-14

กำหนดเมนูร้านกาแฟด้วยตัวคุณเอง

เมนูของร้านกาแฟไม่ได้มีไว้แค่ให้ลูกค้าสั่งเท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวกำหนดตำแหน่งที่ตั้ง รูปแบบ ระดับผู้บริโภคของแต่ละร้าน และยังเป็นเป้าหมายหลักในเรื่องเงินลงทุนอีกด้วย

คนส่วนใหญ่ที่คิดจะเปิดร้านกาแฟล้วนหวังว่า แค่เปิดร้านขึ้นมาใม่ว่าใครก๊เข้ามาใช้บริการได้ทั้งนั้น แต่ไม่มีธุรกิจแบบเดียวกัน
แบบใดที่จะสามารถอยู่รอดได้หมดทุกร้าน ดังนั้นการจะเปิดร้านกาแฟในฝันสักแห่ง เจ้าของร้านจะต้องวางแผนไว้ก่อนเปิดร้านต้องกำหนดเมนูเสียก่อน นั่นก็คือจะต้องกำหนดเสียก่อนว่าร้านกาแฟแห่งนี้ ต้องการขายอะไรบ้างจริง แล้วการกำหนดเมนูของร้านแห่งหนึ่ง ก็คือการกำหนดรูปแบบการดำเนินกิจการของร้านแห่งนั้นนั่นเอง หรือจะพูดให้ชัดเจนสักหน่อยก็คือ เป็นการกำหนดลักษณะของ
ร้านว่าต้องการเปิดเป็นร้านกาแฟที่ขายกาแฟเป็นหลักและขายเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เสริม หรือร้านกาแฟที่ขายอาหารแบบ
ง่ายๆ หรือจะเป็นร้านกาแฟแบบหลากหลายที่ขายทั้งกาแฟ เครื่องดืม อาหาร เค้ก ขนมปังต่างๆ

เมนูไม่ได้กำหนดแค่ลักษณะของร้านเท่านั้น แต่เมนูยังอาจจะส่งผลต่อการออกแบบเคาน์เตอร์บาร์ภายในร้านอีก
ด้วย มันจะช่วยในการตัดสินใจว่าควรเลือกซื้ออุปกรณ์ และเครื่องมือตกแต่งอย่างไร สรุปแล้วเมนูก็คือปัจจัยอันดับแรกที
สำคัญทีสุดทีมีผลต่อการวางแผนการเงินและเงินลงทุน

เมนูในร้านกาแฟ
ภาพจากasamedia.org

ตัวอย่างเช่น ต้องการขายกาแฟเอสเพรสโซ่ก็ต้องซื้อเครื่องชงเอสเพรสโซ่ หากจะขายแค่
กาแฟซิงเกิลออริจิน (single original) หรือกาแฟชงมือทั่วๆ ไปก็ซื้อแค่ตัวทำกาแฟแบบไซฟ่อน (syphin coffee maker) โมค่าพอท (Moka pot) ตัวทำกาแฟแบบเบลเยี่ยม (Belgiumcoffee maker) ถ้าต้องการขายเค้กก็ต้องมีขั้นวางเค้ก ถ้าจะขายวาฟเฟิลก็ต้องซื้อเครื่องทำวาฟเฟิล ขายเครื่องดื่มปันก็ต้องมีเครื่องปั่น ถ้าขายอาหารก็ต้องสร้างห้องครัว ต้องมีเตา ตู้อบ ตู้เย็นขนาดใหญ่ หรือเครื่องล้างจาน เป็นต้น

เมนูไม่ได้กำหนดได้ว่าจะต้องซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์อะไรบ้าง แต่ยังเป็นตัวกำหนดด้วยว่าคุณจะต้องใช้พนักงาน
จำนวนเท่าไร เช่น ถ้าจำหน่ายอาหาร ร้านขนาดเล็กโดยทั่วไปมักจะมีแขกมาทานอาหารอย่างน้อย 3-4 คน ดังนั้นต้องมีพ่อ
ครัว 1-2 คนในห้องครัว ด้านนอกยังต้องมีพนักงานบริการอีกอย่างน้อยสองคน หากเป็นร้านขนาดกลางและขนาดใหญ่ก็
ต้องใช้พนักงานมากขึ้น แตหากขายแค่เครื่องดื่มหรือกาแฟแบบง่ายๆ ในช่วงเวลาที่มีแขกเยอะก็อาจใช้พนักงานอย่าง
มากสองคนหรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเตรียมไว้แล้วหนึ่งคน

ดังนั้นถ้ารายการอาหารในเมนูยิ่งหลากหลาย ขั้นตอนการบริการก็ยิ่งนาน จำนวนพนักงานก็ยิ่งมาก อุปกรณก็ยิ่งเยอะ
เงินลงทุนก็ยิ่งสูง หรือแม้แตบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่จะต้องติดต่อก็อาจจะมากขึ้นด้วย


กำหนดว่าจะขายอะไรบ้าง
เวลาเดินเข้าไปในร้านกาแฟแล้วเห็นเครื่องดื่มมากมาย
หลากหลายนิด คุณจะเลือกอะไร คุณรู้หรือเปล่าว่ากาแฟบนเมนูนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร
เมนูกาแฟที่แตกต่างกันแสดงถึงรสชาติของกาแฟทีแตกต่างกัน กาแฟที่ใช้วิธีชงที่แตกต่างกันก็ทาให้เกิดรูปแบบที่แตก
ต่างกันตามไปด้วย

ปัจจุบันร้านกาแฟที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในได้หวัน คือร้านกาแฟเอสเพรสโซ่ ร้านกาแฟแบบดั้งเดิมในสมัยก่อนจะเป็น
แบบญี่ปุ่น ยังคงขายกาแฟซิงเกลออิรจินเป็นหลัก เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน วิhีขงกาแฟไม่เหมึอนกัน รูปแบบก
แตกต่างกัน ดังนั้นนอกจากการเลือกซื้อเครื่องชงจะแตกต่างกันแล้ว แนวทางในการดาเนินกิจการของร้านก็แตกต่างกัน
มากด้วย ดังนั้นต้องตัดสินใจให้แน่นอนว่าจะเปิดร้านกาแฟซิงเกิลออริจนหรือจะเปิดร้านกาแฟเอสเพรสโซ่
หากจะแบ่งว ฒนธรรมกา แฟตามวิธีการชง แล้วล่ะก็สามารถแบ่งแบบกว้างๆ ได้ 3 แบบคือสไตล์ญีปุ่น สไตลอิตาลีและสไตล์อเมริกัน
แต่หากดูแค่สไตลญี่ปุ่นกับสไตลอิตาลี ในช่วงสองสามปีมานี้สไตล์อืตาลีได้รับความนิยมเป็น
อย่าง มาก

กาแฟสไตล์ญี่ปุ่น
เนื่องจากปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ทำให้วัฒนธรรมกาแฟของไต้หวันได้รับอิทธิพลจากนิสัยการดื่มกาแฟของญี่ปุ่นเป็นอย่าง
มาก ดังนั้นกาแฟที่ขายในร้านอาหารหรือร้านกาแฟแบบดั้งเดิมและสมัยก่อน โดยส่วนใหญ่จะเน้นกาแฟสไตล์ญี่ปุ่น
เป็น หลัก
กาแฟสไตล์ญี่ปุ่นเป็นกาแฟชงมือ โดยทั่วไปจะชงโดยใช้ตัวทำกาแฟฌบบไซฟ่อน โมค่าพอทและตัวทำกาแฟแบบหยด
(Drip coffee) หรือแบบกรอง (Filter coffee) เป็นต้น ดังนั้นกาแฟชงมือจะสามารถแสดงจุดเด่นของกาแฟได้ค่อนข้างดีสำหรับคนที่ชอบเพลิดเพลินกับบรรยากาศและเทคนิคการชงกาแฟก็สามารถเรียนรู้จากร้านเหล่านั้นได้อย่างลึกซึ้งเลยทีเดืยวดังนั้นกาแฟสไตล์ญี่ปุ่นจึงเน้นกาแฟชิงเกิลออริจินเป็นหลัก รายการกาแฟก็เป็นชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยเช่น บลูเมาเทน(Blue Mountain) แมนเดอลิ่ง (Mandhelรng) จาวา (Java)
เคนย่าเอเอ (Kenya) บราซิล (Brazil) มอคคา (Mocha)


กาแฟสไตล์ อิตาลี
อาจกล่าวได้ว่ากาแฟสไตล์อิตาลี เป็นกระแสหลักของตลาดกาแฟทั่วโลกในปัจจุบันเลยก็วาได รูปแบบการใช้ชีวิต
แบบโรแมนติกรวมถึงงานศิลปะแบบดั้งเดิมของอิตาลีทำให้เกิดกระแสกาแฟสไตล์อิตาลี ปัจจุบันในไต้หวันประชากรที่ดื่ม
กาแฟสไตลิอตาลีมีจำนวนเกินกว่าครึ่งในตลาดผู้บริโภคกาแฟและยังได้รับการตอบรับจากกลุ่มวัยรุ่นอีกด้วย สำหรับร้าน
กาแฟนั้น 90 % เป็นร้านกาแฟสไตลึอตาลีทั้งสิ้น

กาแฟสไตล์อิตาลีใช้เครื่องชงสไตล์อิตาลีในการชง ใช้น้ำร้อนที่มีแรงดันสูงผ่านผงกาแฟเพื่อสกัดน้ำกาแฟออกมา
ลักษณะเด่นของมันคือใช้เวลาในการชงน้อย แต่ไม่ถึง 30 วินาทีก็สามารถชงเอสเพรสโซ่รสเข้มข้น คาเฟอีนต่ำได้หนึ่ง
ถ้วย กาแฟสไตล์อิตาลีโดยทั่วไปมีเอสเพรสโซ่เป็นพื้นฐานแล้วเมื่อเติมนมสดลงไปในปริมาณที่แตกต่างกันก็จะได้เมนู
เครื่องดื่มอีกกลุ่มหนึ่งที่หลายๆ คนคุ้นเคยเช่น คาปูชิโน่ ลาเต้อนพานา มัคคีอาโต้ เป็นต้น

กา่แฟสไตล์อเมริกัน
ในความรู้สึกของคนทั่วไป กาแฟสไตล์อเมริกันก็คือ กาแฟจืดนั่นเอง เนื่องจากกาแฟเป็นเครื่องดื่มทั่วๆ ไปของชาว
อเมริกา แต่ละวันสามารถดื่มกาแฟได้หลายถ้วย และเนื่องจาก ต้องการเพลิดเพลินกับกาแฟโดยไม่ต้องการ
คาเฟอีนมาก จึงชงกาแฟจืดมาก วิธีชงจะใช้เครื่องชงสไตล์อเมริกันแบบหยดที่ให้ง่าย ลักษณะของกาแฟสไตล์อเมริกันใน
สมัยก่อนไม่ใช่แค่กาแฟจืด แต่ยังเป็นเครื่องดื่มที่อยู่ในเมนูของร้านอาหารหลายๆ แห่งอีกด้วย เช่นเมนูเครื่องดื่มในร้าน
อาหารฟาสท์ฟ้ดอย่างแมคโดนัลด์ เป็นต้น

ในปัจจุบันกาแฟสไตล์อเมริกันก็กลายเป็นรายการหนึ่งในเมนูของร้านกาแฟไปแล้ว

นอกจากขายกาแฟแล้ว ต้องการจะขายอะไรอีก
การเปิดร้านกาแฟแน่นอนว่าคงไม่สามารถขายแค่กาแฟเพียงอย่างเดียว นอกจากกาแฟแล้วจะต้องขายชาด้วยไหม
หรือคุณต้องการจำหน่ายอะไรให้แก่ลูกิ้ าอีก ดังนั้นต่อจากนี้จะต้องคิดให้ดีว่า ในเมนูของคุณยังต้องมีอะไรอีก ซึ่งคำถามนี้
ก็ย้อนไปถึงเรื่องที่ว่าจะเปิดร้านที่ขายเฉพาะกาแฟที่เน้นเครื่องดื่มจำพวกกาแฟและชาเป็นหลัก หรือว่าจะเปิดร้านกาแฟ
แบบหลากหลายทีขายอาหารด้วยานกีนายกา่ฟโดยเฉพาะร้านแถบนี้จะขายเครื่องดื่มเป็นหลัก มีรายการเครื่องดื่ม
ค่อนข้างน้อย และมีกาแฟกับชาเป็นหลัก กาแฟก็จะมีกาแฟร้อนและกาแฟเย็น ฟวนชาก็มีทั้งชาร้อนและขาเย็น และอาจมี
ชาหอมลไตล์อังกฤษ ยุโรปและขาผลไม้ด้วย บางแห่งยังมีเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เชนข็อคโกแลต โกโก้ นมสดอีกด้วย
ส่วนเครื่องดื่มปั่นที่ชาวไต้หวันชอบนั้น เนื่องจากขั้นตอนการทาคล้ายกับเครื่องดื่มสมูpตี้ นเละเพื่อความนงียบสงบภายในร้านกาแฟ
ดังนั้นจึงไม่มีรายการเครื่องดื่มปั่นอยู่บนเมนูของร้านกาแฟบางแห่ง แต่ในร้านที่ต้องการขายเครื่องดืมชนิดนี้กสามารถทำได้ โดยใช้ตู้ครอบเก็บเสียงของเครื่องปันได้

ร้านขายกาแฟร่วมกับ เค้ก บิสกิตหรืออาหารเบาๆโดยทั่วไป ร้านที่ขายกาแฟโดยเฉพาะนอกจากกาแฟและ
ชาแล้ว ก็อาจจะมขนมหวานที่เข้ากับกาแฟได้คี จำพวกบิสกีตที่ทำเองหรือเค้กช็อคโกแลต ชีสเค้ก เป็นต้น
ร้านกาแฟบางแห่งอาจมีขนมและอาหารเบาบางอย่าง

เพิ่มขึ้นมาด้วยตามความต้องการของลูกค้า เช่น ของหวานทีพบได้ทั่วไปจำพวกเค้กหลากชนิด ทีรามิสุ พุดดิ้งกล้วย กาแฟ
แช่แข็ง ผลไม้แช่แข็ง ทาร์ตผลไม้ โยเกิร์ต พาย เป็นต้น อาหารเบาก็เช่นวาฟเฟิล ขนมปังปิ้ง นเซนดิวช โดนัท สลัด แฮมเบอร์
เกอร์ เป็นต้น

ร้านกาแฟที่ขายอาหารแบบง่ายๆ
หากอยากจำหน่ายอาหารก็ต้องตัดสินใจว่าจะขายอาหาร จีน อาหารตะวันตก อาหารญี่ปุ่นหรืออาหารยุโรป จะขายนเกง
กะหรี่ สปาเก็ตดี้ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หรืออาหารตามสั่งธรรมดาเจ้าของร้านอาจจะใช้อาหารที่ตัว เองถนัด หรืออาจจะหา
อาหารเมนูเด็ดจากห้องครัวใหญ่ก็ได้เช่นกัน เรื่องเหล่านี้จะต้องวางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะออก้แบบเมนู
นเด่ไม่ว่าจะขายอvไร หากไม่มีความสามารถที่จะทำอาหารเองหรือเชิญคนอืนมาทำก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใซ้
อาหารทีขายส่งอยู่ในตลาดมาจำหน่ายให้แก่ลูกค้า ซึงหากปฏิวัติกับลูกค้าด้วยแนวคิดแบบนี้ ลูกค้าก็คงหายไปอยาง
รวดเร็วและต้องล้มเลิกกิจการไปในที่สุด



อ้างอิงที่มา หนังสือคู่มือการเปิดร้านกาแฟฉบับสมบรูณ์

2554-04-19

การชงกาแฟ

การชงกาแฟแบบต่างๆขั้นพื้นฐานที่เราต้องรู้ การชงกาแฟต่างๆ สามารถประยุกต์การใส่วัตถุดิบ เช่น นมสด นมข้นหวาน หรือน้ำตาล ให้มีอัตราส่วนใกล้เคียงกับการชงกาแฟ โบราณ ก็ได้

วิธีการชงกาแฟแบบพื้นฐานต่างๆ

เอสเพรสโซ
เอสเพรสโซ เป็นกาแฟสดแท้ๆ เข้มข้น ที่ชงแบบไม่ผสมอะไรเลยนิยมดื่มเป็นอาหารมื้อเช้า คุณลักษณะพิเศษคือ จะต้องมีฟองสีทองลอยอยู่ด้านบนกาแฟเอสเปรสโซ ซึ่งเกิดจากความสมดุลของความสดของกาแฟ การ บดที่ได้ขนาด น้ำที่ได้อุณหภูมิและแรงดันที่ถูกต้องของน้ำที่ไหลผ่านขณะชง ผู้ที่ชื่นชอบกาแฟประเภทนี้ ก็เพราะต้องการรสชาติ ของกาแฟแท้ๆ บางท่านอาจจะคิดว่าเอสเพรสโซ กับกาแฟดำนั้นเหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วต่างกัน

ข้อแตกต่างระหว่างเอสเพรสโซ กับกาแฟดำ
1.ถ้วยเสิร์ฟ เอสเปรสโซจะเสิรฟในถ้วยที่มีขนาดไมเกิน 2 ออนซ์ หรือถ้าใช้ถ้วยใหญ่กว่า 3 ออนซ์ จะมีปริมาณกาแฟเพียง 1-1.5 ออนซ์เท่านั้น หรืออยู่ที่ก้นถ้วย ส่วนกาแฟดำจะเสิร์ฟด้วยถ้วยที่มีขนาด 4-6 ออนซ์ และมีปริมาณกาแฟมากกว่าเอสเปรสโซ 2-3 เท่า

2. ปกติแล้วเอสเปรสโซจะเสิรฟโดยไม่มีน้ำตาลหรือนมหรือครีม ส่วนกาแฟดำจะเสิร์ฟคู่กับน้ำตาลหรือนมหรือครีม เอสเปรสโซท่ขงถูกวิธีจะมีฟองสีทองลอยอยู่ด้านบน และฟองนี้จะตีดเป็นคราบอยู่ที่ด้วยแม้จะดื่มกาแฟหมดด้วยแล้ว ส่วน กาแฟดำจะไม่มีฟองสีทองลอยอยู่ข้างบน หรือถ้ามีเมื่อใช้ช้อนคนฟองสีทองบาง ๆ ก็จะหายไป

3. รสชาติของเอสเปรสโซจะตีดปากอีกประมาณ 15-30 นาทีหลังจากดื่ม ส่วนกาแฟดำรสชาติจะติดปากไม่เกิน 5 นาที หรือ อาจจะไม่มีเลย
4. การดื่มเอสเปรสโซที่ถูกวิธีไม่นิยมใช้ข้อนคน ยกเว้นในกรณีที่เติมน้ำตาลลงไป และต้องดื่มให้หมดด้วยในอึกเดียวหรือ 2 อึก จะไม่มีการวางทิ้งไว้หรือค่อย เจ็บเหมือนกาแฟดำ

วิธีดื่มเอสเพรสโซแบบถูกวิธี
ยกถ้วยขึ้นมาดม จากนั้นซดกาแฟในถ้วยเล็กน้อย เเล้วอมไว้ในปากสักครู่ จากนั้นจึง
กลืน การซดที่ถูกวิธีจะต้องมีเสียงซดด้วย ไม่ต้องกลัวเสียมารยาทแต่หากท่านไม่กล้า ก็ไม่เป็นไร
ซดกาแฟส่วนที่เหลือ อมไว้ในปากสักครู่แล้วกลืน

วิธีการชงเอสเปรสโซร้อน
ใช้เมล็ดกาแฟ1 ช้อน ประมาณ8 กรัม บดกาแฟให้ละเอียดพอดี
ตักกาแฟใส่ลงในพอร์ต้าฟิลเตอร์ กดกาแฟด้วยแทมเปอร์ให้แน่น พอสมควร
นำกาแฟที่ได้แล้วใส่ไปในเครื่องชงกาแฟให้เข้าล็อค
นำถ้วยกาแฟขนาด 3.5 ออนซ์ ที่เตรียมไว้รองใต้พอร์ต้าฟิลเตอร์

กดปุ่มน้ำ เมื่อได้ปริมาณนำกาแฟประมาณ 45 ม.ล. (1.5 ออนซ์) ให้กดปุ่มเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อหยุดน้ำ หากสีของน้ำกาแฟที่ ไหลออกมาเปลี่ยนสีจากสีเข้มเป็นสีจาง เนื่องจากปริมาณน้ำออกมามากกว่า 45 ม.ล. ให้ยกถ้วยที่รองกาแฟออกทันที เพราะน้ำ กาแฟที่เจือจางตอนสุดท้ายจะทำลายรสซาติของกาแฟที่อยู่ในถ้วย
เสิร์ฟให้ลูกค้าพร้อมน้ำตาลและครีมอย่างละ1ซอง

วิธีการชงเอสเปรสโซเย็น
ชงกาแฟเอสเปรสโซ 1 ช็อตโดยให้ใช้กาแฟบดประมาณ 1 5 กรัม ให้ได้น้ำกาแฟประมาณ 100 ml ใส่ในแก้ว ขนาด 16 ออนซ์
เติมนมข้นหวานประมาณ 50 ml คนให้เข้ากันเติมน้ำแข็งจนเต็มแก้ว
เสิร์ฟพร้อมกับหลอด

*Americano
อเมริกาโน่ก็ คือ กาแฟเอสเปรสโซ 1 ซ็อต แต่เติมน้ำมากขึ้นเกือบเท่าตัว (2.5-3 ออนซ์) บางทีเรียกว่าเอสเปรสโซลันโก

วิธีการชงอเมริกาโน่ร้อน
กดปุมน้ำร้อนใส่ในถ้วยขนาด 8 ออนซ์ เมื่อได้ปริมาณน้ำ 100 ml
ให้กดปุมเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อหยุดน้ำใช้กาแฟทีาเอสเปรสโซ 1 ช็อต
(1 shot = 45 ml ) ใส่ในถ้วยที่บรรจุน้ำร้อนไว้แล้วเสิร์ฟให้ลูกค้าพร้อมน้ำตาลและครีมอยางละ 1 ซอง

วิธีการชงอเมริกาโน่เย็น
ชงกาแฟเอสเปรสโซ 1 ช็อตโดยใช้กาแฟบดประมาณ 15 กรัม
ให้ได้น้ำกาแฟประมาณ 100 ml ใส่ในแก้วขนาด 16 ออนซ์ ใส่น้ำตาล
ทรายขาวประมาณ 20-30 กรัม คนจนละลายเข้ากับกาแฟเติมน้ำแข็งจนเต็มแก้ว
เสิร์ฟให้ลูกค้าพร้อมหลอด

*Cappuccino
คาปูชิใน่เป็นกาแฟใส่นม นิยมดื่มพร้อมอาหารเช้า เสน่ห์ของคาปูชิโน่คือต้องมีฟองนม
เป็นส่วนผสม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคาปูชิโน่ คาปูชิโน่ต้องเป็นสีน้ำตาลแก่ โดยมีฟองนมลอยอยู่บนผิวกาแฟ วิธีการดื่มต้องไม่ คนฟองนมให้เข้ากับกาแฟ เพราะเราไม่ได้ดื่มกาแฟใส่นม เราต้องดื่มกาแฟพร้อมกับฟองนม ซึ่งเมื่อกาแฟหมดด้วยแล้ว ฟองนมยัง คงคิดอยู่ที่ถ้วยกาแฟ เทคนิคในการชงคาปูชิโนก็สำคัญ ต้องชงให้ฟองอากาศน้อยที่สุด เพื่อที่ฟองนมจไต้ไม่ละลายหายไปพร้อมกับกาแฟ

ฟองนมคาืปูชิโนจะต้องมีความละเอียดมาก ถ้าฟองนมเต็มไปด้วยฟองอากาศแสดงวาการตีฟองนมยังไม่ถูกวิธี ดังนั้นเมื่อตีฟองนมแล้ว ควรช้อนฟองนม หยาบที่อยู่ด้านบนนั้นทิ้ง และพยายามคลุกเคล้านมให้ละเอียดมากขึ้น ซึ่งจะเรียกว่า การทำให้ฟองเปียก นมที่เหลือจากการทำฟองนมจะเอามาทำใหม่ไม่ได้ เพราะจะตีสองไม่ขึ้นควรหาเครื่องตีฟองนมมาหนึ่งเครื่อง เป็นเครื่องเล็กๆใช้ถ่าน
หรือจะใช้แบบกระป็องกดทำฟองนมก็ได้

ควรมีด้วยแก้วทรงสูงประมาณ 4-6 นิ้ว สำหรับใส่นมที่จะทำฟองนม โดยดูว่าเมื่อใส่นมแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1/3 เเก้ว ควรมีถ้วยเซรามิคที่เข้าไมโครเวฟได้สัก 1 ใบ เทนมลงไปในปริมาณ 200-250 ซีซี และให้ทำเครื่องหมายไว้ จากนั้นนำไป เข้าไมโครเวฟประมาณ 10-20 วินาที คอยเช็คอุณหภูมิไม่ให้เกิน 60 องศาเซลเซียส แล้วนำนมทีอุ่นเทใส่แก้วทรงส่งที่เตรียมไว้ เอา เครื่องทำฟองนมจุ่มลงไปแล้วกดสวิตซ์ ประมาณ 10 วินาที ก็จะได้ฟองนมที่ละเอียด

วิธีการชงคาปูชิโน่ร้อน
เตรียมตีฟองนมประมาณ150 ml ใช้กาแฟทำเอสเปรสโซ 1 ช๊อต(45 ml ) ใส่ในถ้วยขนาด 8 ออนซ์
ตักฟองนมใส่บนกาแฟจนเกือบถึงปากถ้วย เทนมประมาณ 30ml ลงไปตรงกลาง แล้วปิดทับด้วยฟองนม

วิธีการชงคาปูชิโน่เย็น
ตีฟองนมปริมาณ 150 ml. จากนั้นชงกาแฟเอสเพรสโซ 1 ช็อต โดยใช้กาแฟบด 15 กรัม ให้ได้น้ำกาแฟ 100 ml ใส่ในแก้วขนาด 16 ออนซ์ ใส่นมข้นหวาน 50 ml.คนให้เข้ากัน เติมน้ำแข็งเต้มแก้ว ตักฟองนมใส่ด้านบน จนเต็มแก้ว โรยชินนามอนหรือผงช็อกโกแลตลงบนฟองนมเพียงเล็กน้อย เสิร์ฟพร้อม หลอด


**Latteลาเต้เป็นกาแฟทีทำฟองนม คล้ายกับคาปูชิโน่ แต่ต่างกันตรงที่ ลาเต้ต้องเทนมลงไปก่อน แล้วจึงตักฟองนมปิดหน้าเล็กน้อย ลวดลายบนฟองนมละเอียดบนเครื่องดื่มลาเต้นั้น เขาเรียกกันว่า ลาเต้ อาร์ท

วิธีการชงลาเต้ร้อน

เตรียมตีฟองนมประมาณ 150 ml ใช้กาแฟทำเอสเปรสโซ 1 ช้อท ใส่ในถ้วย ขนาด 8 ออนซ์
เทนมใส่ 100 ml ลงไปไปในถ้วยตักฟองนมปิดนน้าเล็กน้อย เสิร์ฟให้ลูกค้าพร้อมน้ำตาล 1 ซอง



วิธีการชงลาเต้เย็น
ชงกาแฟเอสเปรสโซ 1 ช็อต โดยใช้กาแฟบดประมาณ 15 กรัม ให้ได้น้ำกาแฟประมาณ 100 ml ใส่ในแก้วขนาด 16 ออนซ์

ใส่น้ำตาลทรายขาว 30 กรัมคนให้เข้ากันเติมน้ำแขังจนเต็มแก้วเทนมสด 50 ml ลงไปในแก้ว ไม่ต้องคน
เสิรฟให้ลูกค้าพร้อมหลอด

*Mochaมอคค่าคือ กาแฟที่ เพิึมึิส่วนผสมของชอคโกแลตลงไปใน
กาแฟร้อนใส่นม

วิธีการชงมอคค่าร้อน
ใช้กาแฟทำเอสเปรสโซร้อน (45 ml ) ใส่ในถ้วยขนาด 8 ออนซ์
ตักผงโกโก้ ใส่ลงไปปริมาณ 1 ช้อน (12 กรัม) คนให้ละลาย
เทนมสด 100 ml ลงไปในถ้วย คนให้เข้ากันบีบวิปปิ้งครีมลงด้าน
บน โรยหน้าด้วยช็อคโกแลตไซรัปประมาณ 5 กรัม

วิธีการชงมอคค่าเย็น
ชงกาแฟเอสเปรสโซ ฯ ช้อท โดยใช้กาแฟบดประมาณ 15 กรัม ให้ได้น้ำกาแ*ประมาณ 100 ml ใส่ในแก้วขนาด 16 ออนซ์
ใส่นมข้นหวาน 30 ml ใฟนมข้นหวาน 30 ml ใส่ผงช็อคโกแลต 1 ช้อน(12 กรัม) คนให้ละลายเข้ากันกับกาแฟเติมน้ำแข็งจนเต็มแก้วประมาณ 300 กรัม
แล้วเทส่วนผสมลงไปบีบวิปปิ้งครีมลงด้านบนประมาณ 40 กรัม แล้วโรยหน้าด้วยชอคโกแลตไซรัปประมาณ 5 กรัม เสิร์ฟใน้ลูกค้าพร้อมหลอด

ที่มา อ้างอิงจาก หนังสือ กาแฟ 3 สไตล์ อ.เชษฐา-สุจินดา ใจใส

2554-04-01

วิธีลดต้นทุนร้านกาแฟ

การทำธุรกิจไม่ว่าธุรกิจอะไร เรื่องต้นทุนเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งในภาวะการแข่งขันทุกวันนี้ ใครที่สามารถยืนหยัดได้นาน คนนั้นถึงจะรอด การลดต้นทุนร้านกาแฟเป็นเรื่องดี แต่อย่าลดต้นทุนจนผุบริโภค ได้กินกาแฟที่ไม่มีคุณภาพ วันนี้มีบทความเกี่ยวกับการลดต้นทุนร้านกาแฟมาฝากเจ้าของร้านกาแฟทุกๆท่านครับ การเปิดร้านกาแฟถึงแม้ว่าจะง่าย แต่กำไรของร้านกาแฟก็ไม่มาก เป็นที่หามาได้ล้วนได้มาอย่างยากลำบาก หลาย คนอาจจะใช้เงินที่สะสมมาทั้งชีวิตในการเปิดกิจการ ดังนั้นเวลาที่ตัดสินใจเปิดร้านกาแฟจะต้องใช้เงินให้เกิดประโยชน์ มากที่สุด อะไรควรจ่ายก็จ่าย ส่วนไหนประหยัดได้ก็อย่าใช้ให้สิ้นเปลือง ในการเปิดร้านกาแฟอะไรคือเงินที่สมควรจ่าย เจ้าของร้านกาแฟทุกคนล้วนกล่าวว่า “ถ้าอยากจำหน่ายสินค้าดีและมี คณภาพ ก็อย่าลดต้นทุนวัตถุดิบด้านอาหารโดยเด็ดขาด หรืออาจกล่าวได้ว่าของที่ขายนั้นจะต้องดี ดังนั้น วัตถุดิบที่ใช้ก็ต้อง มีคุณภาพที่ดีที่สุดด้วย เพราะฉะนั้นต้นทุนด้านอาหารจึงไม่ควรลดลง เมื่อร้านกาแฟสักแห่งคิดจะลดต้นทุนด้านวัตถุดิบ ร้านแห่งนั้นไม่มีทางที่จะประสบความสาเร็จได้ ดังนั้นการลดต้นทุนในการเปิดร้านกาแฟ นอกจากจะต้องมีการวางแผนที่ดีและมีการจัดการที่ดีแล้ว ยังมีวิธีการบางอย่างใน การลดต้นทุนที่ผู้ประกอบการควรพิจารณาด้วย คือ 1.ประหยัดต้นทุนในการออกแบบร้านกาแฟ ต้นทุนที่จะสามารถประหยัดได้ในการเปิดร้านกาแฟก็คือ การออกแบบและการตกแต่ง หลายคนมักจะจัดลำดับความ สาคัญผิดใป โดยนำเอาเงินส่วนใหญ่ ไปลงทุน ในการออกแบบและการตกแต่ง จากนั้นเมื่อมาพบทีหลังว่าเงินไม่พอก็เลยลด ต้นทุนด้านอุปกรณ์ลงแทน แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นความสัมพันธ์ที่กลับกัน นอกเสียจากว่า คุณจะมีเงินลงทุนในจำนวนที่ไม่จำกด ไม่เช่นนั้น การประหยัดต้นทุนในการออกแบบและตกแต่งก็เป็นวิธีการประหยัดต้นทุนที่ดีที่สุดและช่วยเพิ่มความรวดเร็ว ในการคืนทุนอีกด้วยตอนที่ผู้ประกอบการวางแผนค่าใช้จ่ายสำหรับการออกแบบตกแต่ง อาจจะนำเงินทุนที่เตรียมไว้ทั้งหมดมาหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าอุปกรณ์ ค่าวัตถุดิบ รวมทั้งเงิน ทุนหมุนเวียนในช่วงหกเดือนเสียก่อน หลังจากนั้นเหลือเงิน เท่าไรจึงค่อยนำไปใช้กับการออกแบบตกแต่ง หรือถ้าหากตัว คุณเองรู้จักกับเพื่อนที่มีความรู้ในการออกแบบ ก็สามารถให้เขาช่วยได้ ต้นทุนในส่วนนี้ก็อาจจะประหยัดลงไปได้อีกหลาย หมื่นถึงหลายแสนบาท นอกจากนี้การนำอุปกรณ์บางอย่างมาใช้แทนการตกแต่ง ก็จะช่วยประหยัดต้นทุนได้เช่นกัอัน ถ้าปกติเจ้าของกิจการชอบ สะสมของกระจุกกระจิกหรือผลงานศิลปะ ก็สามารถใช้เทคนิคในการจัดวางมาทดแทนการออกแบบภายในได้ และยังเป็นการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิผลอีกด้วย เช่น ในร้าน ประดับด้วยชองกระจุกกระจิก รวมถืง ถ้วยชามที่เจ้าของร้านเก็บสะสมไว้เวลาไปเที่ยว ตามสถานที่ต่างๆ ตกแต่งภายในร้านให้มีรูปแบบเหมือนบ้านเล็กๆ หรือบนเคาน์เตอร์บาร์จะแขวน การ์ดเอาไว้ ซึ่งเปุนการ์ดที่ลูกค้าทั่วโลกส่งมาให้เจ้าของร้าน และยังมีชุดถ้วยกาแฟที่ลูกค้าส่งมาให้อีกเช่นกัน สิ่งเหล่านี้กึเป็นส่วนหนื่งของการตกแต่งภายในได้ ประหยัดต้นทุนในการติดตั้งอุปกรณ์ อุปกรณ์ต่างๆ นั้นมีราคาตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนผู้ประกอบการทั่วไปล้วนอยากจะใช้อุปกรณ์ที่เป็นของใหม่ด้วยกันทั้งนั้น การติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้จะต้องใช้เงีนหลายแสนบาท แต่ถ้ามีเงินทุนจำกัด และคุณพอจะมีความรู้พื้นฐาน เกียวกับอุปกรณ์เหล่านั้นอยู่บ้าง ก็ใม่จำเป็นต้องซื้อของใหม่ก็ได้ เพราะยังมีแนวทางอื่นๆ อีกมากที่สามารถติดตั้งและหา ซื้ออุปกรณ์ในราคาที่ถูกมากได้ 1.ของมือสอง จริงๆ แล้วความรวดเร็วในการปิดกิจการร้านกาแฟก็เท่ากับความรวดเร็วในการเปิดกิจการเช่นกัน นอกจากการเซ้ง ร้านแล้วรับช่วงอุปกรณ์ต่อ ก็ยังมีอุปกรณ์อีกเป็นจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปในตลาดมือสอง ซื่งอุปกรณ์และเครื่องมือเหล่า นี้โดยส่วนมากล้วนเป็นของใหม่ประมาณ 80-90 % สามารถซื้อได้ในราคาครึ่งหนึ่งหรือเศษหนื่งส่วนสาม สถานที่ขาย สินค้ามือสองโดยทั่วไปจะอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ และตามเมืองต่างๆ ก็มีเช่นกัน ลองไปสอบถามดูแล้วคุณก็จะเจอสิ่งที่ต้องการ 2.ของลดราคาในอินเตอร์เน็ต บางครั้งในอินเตอร์เนทอาจจะมีข่าวคราวการลดราคาสินค้าบางขนิดอยู่ก็สามารถเข้าไปดูได้ ไม่ได้มีเพียงสินค้ามือ สองเท่านั้น แต่ยังมีอุปกรณ์ใหม่ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรุ่นเก่าหรือเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด ก็จะถูกนำออกมาลด ราคาขาย ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าในท้องตลาดทั่วไป ขอ แค่ระมัดระวังสักเล็กน้อยก็จะสามารถหาสินค้าที่เหมาะสมใน ราคาทีถูกลงได้ 3.ตามงานแสดงสินค้า ของบริษัทต่างๆ บริษัทจัดจำหน่ายอุปกรณ์ อาจจะนำเครึ่องชงบางส่วนมาติดตั้งไว้หน้าร้านนเพื่อจัดแสดงให้ลูกค้าดู เครื่องที่ใช้จัดแสดง เหล่านี้ล้วนถูกแกะออกจากกล่อง แต่ยังไม่ได้ใช้งาน หากบริษัทต้องการเปลี่ยนเครื่องที่จะนำมาแสดงก็อาจจะลดราคา เพื่อขายให้แก่พนักงานหรือขายเข้าสู่ตลาดมือสองก็เป็นได้ ถ้าคุณอยากจะประหยัดต้นทุนก็สามารถตกลงราคากับบริษัทจัด จำหน่ายหรือบริษัทตัวแทนจำหน่ายดูได้ และอาจจะได้ลดราคาหลายหมื่น หรืออาจจะได้ลดมากกว่าครึ่งก็เป็นได้ 4.ลดต้นทุนด้านพนักงาน ค่าใช้จ่ายด้านพนักงานก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการพิจารณาลดต้นทน ร้านหลายๆ แห่งอาจจะดำเนินกิจการ โดยอาศัยเจ้าของร้านเพียงคนเดียว เดือนหนึ่งอาจจะทำเงินได้หลายหมื่นบาท ดังนั้นหากเจ้าของร้านมีสุขภาพแข็งแรงและมี ความคล่องแคล่ว ก็จะทำงานแบบ “หนื่งคนเหมือนสิบคนทำให้สามารถประหยัดต้นทุนพนักงานลงไปได้ ถ้าต้องการจะหาคนมาช่วยไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำหรือนักศึกษาฝึกงาน การหาพนักงานที่ดีและเหมาะกับงานก็ จะสามารถประหยัดต้นทุนด้านพนักงานลงไปได้มาก เนื่องจากบางคนมีปฏิกิริยาทีกระฉับกระเฉง เพียงคนเดียวก็ สามารถทำงานได้แทนคนสามคน แต่บางคนเรียนรู้ช้า ถึงจะมีสองคนแต่ก็ยังทำงานสู้กับคนเพียงคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นพนัก งานที่คุณจ้าง หากเป็นแบบนนึ่งคนทำงานได้เท่าสองคน ในแต่ละเดือนเจ้าของร้านก็จะสามารถประหยัดคาใช้จ่ายด้าน พนักงานไปได้มากโข *การซื้อเครื่องชงกาแฟมือสอง ถ้าเครื่องชงกาแฟที่ซื้อเป็นเครื่องมือสอง ผู้ประกอบการ ควรจะต้องระมัดระวังเรื่อง การหมุนเวียนป้ายสินค้า สภาพของเครื่อง ระยะเวลาการใช้งาน และจะต้องดูว่ามีหนทางทีจะติดต่อกับโรงงานผู้ผลิตเพิ่มหรือบริษัท ตัวแทนจำหน่ายหรือเปล่า เนื่องจากเครื่องต้องซ่อมแซมหรือขัด หาอะไหล่จะได้สามารถติดต่อโรงงานมาบริการให้ได้ ไม่ใช่ว่าซื้อเครื่องมาแล้ว กลายเเป็นเครื่องกำพร้า ก็คงไม่มีใครช่วยอะไรได้นอกเสียจากว่าคุณเปิดกิจการเครื่องชงกาแฟ สามารถซ่อมแซมเองและหาอะไหล่เองได้ ก็ไม่เป็นไรอย่างเช่นกาเจิ้นอวี้จุ้า ของร้านคาเฟยเฮยเฉาและหูเจียหยวน เจ้าของร้านพอซีหมี่ย่าเหยิน พวกเขาศึกษาเครื่องชงกาแฟสไตล์อิตาลีมาอย่างลึกซึ้ง แทบจะผ่าเครื่องออกมาวิเคราะห์ให้ถึงแก่น ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจโครงสร้างและวิธีการทำงาของเครื่องอย่างทะลุปรุโปร่งสามารถช่อมเองได้ เมื่อเครื่องเกิดปัญหาก็สามารถหาสาเหตุและแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว นอกจากเครื่องชงกาแฟและอุปกรณ์ในการคงที่เป็นของมือสองแล้ว ของชิ้นใหญ่อื่นๆ อย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ก็ สามารถเลือกใช้ของมือสองได้เช่นกัน ในตลาดสินค้ามือสองก็สามารถหาโต๊ะและเก้าอี้สำหรับทานอาหารที่มีคุณภาพดีได้ และมีความใหม่ประมาณ 70ี-80 % ถ้างบประมาณยังไม่พอ ก็อาจจะนำแนวคิดในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติมาทำเป็นโต๊ะและเก้าอี้แบบ DIY ก็ได้ เช่น สวี่ชูหมิงเจ้าของร้านซวงอวี๋ฟาง ใช้ฝีมือบวกกับความคิคสร้างสรรค์ โดยเก็บของเก่าที่คนอื่นทิ้งแส้ว อย่างเช่น จักรเย็บผ้า ม้านั่งในสวนสาธารณะ เขาล้วนเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของมีค่า นำมาเปลี่ยนเป็นโต๊ะและเก้าอี้ในร้านกาแฟ ไม่เพียงแต่จะ ประหยัดต้นทุนในการเปิดกิจการเท่านั้น แต่ยังทำให้ร้านซวงอวี๋ฟาง มีบรรยากาศแบบเก่าเหมือนอยู่ในอดีตซึ่งเป็นรูปแบบที่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอีกด้วย แต่ผู้คนจำนวนมากในปัจจุบันมักจะนำของเก่ามาสร้างสีสัน ของเก่าเหล่านี้จึงกลายเป็นของหายาก หากไม่รู้จักกับคน รับชื้อของเก่า ก็ต้องใช้เวลาและแรงงานในการหาและเก็บสะสมนานพอสมควร นอกจากนี้ของตกแต่งชิ้นเล็กๆ ในร้านบางแห่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของสำเร็จรูปที่ผลิตมาเป็นจำนวนมาก แล้วเลือกซื้อมา เจ้าของร้านอาจจะใช้เทคนิค เช่น โถใส่น้ำตาล ที่รองแก้วนหรือถาดก็สามารถทำเองได้ อย่างเช่น โถใส่น้ำตาล ทรงฟักทองในร้านเคอเฟินก็ได้รับความชื่นชมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ซึ่งน้องชาย เจ้าของร้านที่เป็นอาจารย์ด้านเครื่องปั้นดินเผาเป็นคนปั้นให้เอง ไม่เพียงแต่จะใช้ต้นทุนน้อย แต่ยังเป็น อุปกรณ์ที่มีเอกลักษณ์และมีสีสันอีกด้วย แล้วยังมีทีรองแล้วและถาดที่นำแม่เหล็กมาแปะซึ่งเป็นความคิด สร้างสรรค์ที่้เจ้าของร้านคิดและประดิษฐ์ขึ้นเอง *ประหยัดต้นทุนโดยลดปริมาณสินค้าคงคลังหรือวัตถุดิบสิ้นเปลือง วัตถุดิบและอาหารบางชนิดทีใช้ในร้านกาแฟ เวลาการเก็บรักษาที่จากัด เช่น เมล็ดกาแฟ นมสด ครีม เค้ก เป็นต้น หากจำหน่ายอาหารด้วยกจะมีอาหารต่างๆ เช่น อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ผักสด ที่มีระยะเวลาจำกัดในการเก้บ รักษา ดังนั้นเวลาซื้อสินค้าเข้าร้าน จะต้องระมัดระวังเรื่องจัดการสินค้าคงคลังเป็นพิเศษ อย่าชื้อทีละมากๆ อย่าสะสมสินค้างคลังไว้เป็นเวลานานหรืออย่าใช้ต้นเปลืองจนเกินไป ดังนั้นการจัดการสินค้าคงคลังด้านอาหารจะทำให้ส่วนขาดทุนลดลง และสามารถลดต้นทุนได้ด้วย อ้างอิงจาก หนังสือ คู่มือการเปิดร้านกาแฟฉบับบสมบรูณ์

2554-03-08

ร้านกาแฟ ไอศกรีมโฮมเมด Mister Lee's

แนวทางการเปิดร้านกาแฟสดและธุรกิจไอศรีมที่ลงตัว ไปด้วยกันได้ แบบ Mister Lee's เป็นร้านที่จำหน่ายทั้งกาแฟและไอศกรีมโดยก่อนหน้านี้จำหน่ายเฉพาะไอศกรีมอย่างเดียว ในตอนนั้นคุณอุดมชัยรู้สึกว่าใครๆ ก็สามารถชงกาแฟทานเองได้ แตไอศกรีมทำยากกว่า เขาจึงเริ่มศึกษาวิธีการทำไอศกรีมและเปิดร้านขายไอศกรีม ต่อมาเริ่มขยายสาขาร้านไอศกรีม และมีอยู่สาขาหนึ่งที่มีพื้นที่ด้านค่อนข้างใหญ่ คุณอุดมชัยจึงอยากหากิจการอย่างอื่นมาเพิ่มเติม แล้วเขาก็มองว่าธุรกิจกาแฟน่าจะเหมาะสม เขาจึงเริ่มเปิดกิจการกาแฟควบคู่กับร้านไอศกรีมที่ทึาอยู่ก่อนแล้ว และนี่ก็คือที่มาของร้าน Mister Lee's

Mister Lee's


ปัจจุบันร้าน Mister Lee's มีสองสาขา สาขาแรกตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น สาขาที่สองตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพในตัวเมืองจังหวัดขอนแก่นเช่นกัน หลายๆ คนอาจจะมองว่าบรรยากาศของร้านไอศกรีมและร้านกาแฟนั้นแตกต่างกัน คุณอุดมชัยเองก็เล็งเห็นในจุดนี้ แต่เขาก็สามารถสร้างบ้านให้มีบรรยากาศที่เหมาะกับทั้งไอศกรีมและกาแฟได้ เขากล่าวว่า
“คนส่วนใหญ่จะมองว่าร้านไอศกรีมต้องการความสดใส มีสีสัน ในขณะที่ร้านกาแฟต้องมีบรรยากาศเงียบขรึม ผมจึงต้องพยายามปรับให้รูปแบบทั้งสองอย่างนี้เข้ากันให้ได้ คือทำให้ดูมีสีสันเหมาะกับไอศกรีมแต่ก็ไม่จัดจ้านเกินไป ในขณะเดียวกันก็ต้องดูขรึมและสง่าเหมาะกับกาแฟ แต่ต้องไม่มืดและทึมมากเกินไป”
คุณอุดมชัยยังกล่าวอีกว่า

“ผมอยากให้ลูกค้ามีพื้นที่และมีเวลาส่วนตัว เราจะไม่เดินเข้าไปถามเขา”
ที่โต๊ะว่า..ต้องการอะไรเพิ่มไหม หากเขาอยากได้อะไร เขาก็จะเดินมาสั่งเอง ผมไม่อยากทำให้เขารู้ดีกว่าเราเข้าไปรบกวนเขา เนื่องจากร้าน Mister Lee's สาขาแรกตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัย กลุ่มลูกค้าหลักจึงเป็นนักศึกษา และอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า บรรยากาศภายในร้านไม่ฉูดฉาดมาก ดังนั้นจึงมีอาจารย์ บุคลากรและผู้ที่มาติดต่องานในบริเวณนั้นเข้ามาใช้บริการด้วยเช่นกัน ส่วนกลุ่มลูกค้าของสาขาที่สองส่วนใหญ่จะเป็นคนทำงานหรือไม่ก็มากันเป็นครอบครัว บางครั้งพ่อ อาจจะอยากดื่มกาแฟ พวกเขาก็สามารถพาลูกๆ มาทาน
ไอศกรีมไปพร้อมกันได้

นอกจากนี้คุณอุดมชัย ยังมองว่า ผู้ชายส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกกระดากที่จะเดินเข้าไปในร้านไอศกรีทั่วไป เพราะบ้านส่วนใหญ่จะเน้นสีสันสดใสและดูน่ารักเหมาะกับเด็กสาววัยรุ่นเสียมากกว่า แต่ร้านของเขาแตกต่างจากคนอื่น ดังนั้นคุณผู้ชายส่วนใหญ่จึงกล้าที่จะเดินเข้ามาทานไอศกรีมในร้าน Mister Lee's นอกจากนี้การขายไอศกรีมและกาแฟคู่กันยังเป็นการเพิ่มตัวเลือกให้กับลูกค้าอีกด้วย หากลูกค้ามากันเป็นกลุ่มและมีบางคนไม่ดื่มกาแฟก็สามารถสั่งไอศครีมมาทานได้ กิจการสองอย่างที่หลายคนมองว่าไม่น่าจะมาเปิดคู่กันได้ แต่คุณอุดมชัยก็ทำให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถนำความแตกต่างเหล่านั้นมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างกลมกลืน คุณอุดมชัยกล่าวว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงแรกที่เริ่มเปิดกิจการก็คือการสร้างความยอมรับจากผู้บริโภค “เนื่องจากผมใส่ใจเรื่องคุณภาพมาก ดังนั้นราคาของกาแฟและไอศกรีมในร้านเราจึงแพงกว่าร้านทั่วไปเล็กน้อย ประกอบกับการแต่งร้านที่ดูมีมาตรฐานซึ่งเป็นร้านที่พบได้ทั่วไปในกรุงเทพฯ แด่ช่วงนั้นในขอนแก่นยังไม่มีร้านแถบนี้ คนส่วนใหญ่ที่ผ่านไปมาจึงไม่กล้าเดินเข้ามาในร้าน เพราะ คิดว่าร้านของเราขายของแพง ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในตอนนั้นลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยเห็นบ้านแบบนี้ในกรุงเทพฯ คนกลุ่มนี้ก็จะเข้าใจแนวคิดของเรา จากนั้นพวกเขาก็ช่วยแนะนำ
ต่อไปเรื่อยๆ ผู้คนก็กล้าเดินเข้ามาในร้านมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้มาสัมผัสกับบรรยากาศที่แท้จริงภายในร้าน เขาก็เข้าใจว่าร้านเราไม่ได้แพงอย่างที่คิด และลูกค้าส่วนใหญ่ก็พอใจและยินดีที่จะกลับมาใช้บริการอีก

ในช่วงแรกที่เริ่มจำหน่ายกาแฟคุณอุดมชัยใช้กาแฟคั่วสำเร็จที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด แต่เมื่อเขาได้ศึกษามากขึ้นและยังศึกษาเรื่องการคั่วกาแฟโดยเฉพาะ โดยเดินทางไปศึกษาถึงประเทศสหรัฐอเมริกา จึงเป็นเหมือนกับการเปิดโลกกาแฟสำหรับเขา คุณอุดมชัยได้รู้ว่าในโลกนี้ยังมีกาแฟอีกหลากหลายชนิด และกาแฟแต่ละชนิดก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจคั่วกาแฟด้วยตัวเอง เพื่อนำมาใช้ใน
ร้าน Mister Lee's และเขาก็พยามยามพัฒนาคุณภาพและค้นหาเมล็ดกาแฟในแบบที่ตัวเองต้องการ เพื่อสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดมาบริการให้แก่ลูกค้า

จุดยืนในการเปิดร้านกาแฟของคุณอุดมชัยก็คือเขาพยายามรักษาคุณภาพและสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดมาบริการให้กับลูกค้า นคนอเมรกันดื่มกาแฟซิงเกิล ออริจิน คนอิตาลีดื่มเอสเพรสโซ ส่วนคนไทยนิยมดื่มกาแฟเย็น ดังนั้นเมนูกาแฟยอดนิยมในร้านกาแฟไทยส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นกาแฟเย็น แล้วเราจะทำอย่างไรให้กาแฟเย็นของเราแตกต่างจากคนอื่น บางคนมองว่าการปรุงกาแฟเย็นไม่ต้องให้ความสำคัญกับเมล็ดกาแฟมากนักแต่สำหรับผมกลับตรงกันข้าม ในเมื่อกาแฟเย็นเป็นเมนูที่ขายดีมากที่สุด ดังนั้นเราต้องทำให้กาแฟเย็นของเราเป็นกาแฟทีดีที่สุดด้วย ผมอยากให้ลูกค้าได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงของเมล็ดกาแฟ ผมจึงค้นหาและทดลองคั่วและเบลนด์กาแฟ จนกระทั่งได้เมล็ดกาแฟที่เหมาะจะใช้ทำกาแฟเย็นมากที่สุด”

คุณอุดมชัยกล่าวว่าร้านกาแฟที่สามารถดำเนินกิจการและอยู่รอดได้นั้นมีอยู่เพียงหนึ่งในสิบหรือ 5 % ของร้านกาแฟทั้งหมดในตลาด เขากล่าวว่า “หากคุณอยากเปิดร้านกาแฟตัวอย่างของผู้ที่ประสบความสำเร็จมีให้เห็นและสามารถศึกษาได้ง่ายอยู่แล้ว แต่สำหรับผม ผมอยากให้คุณไปคุยกับเจ้าของร้านกาแฟหลายๆ คนที่เคยล้มเหลว เพื่อดูว่าเขามีปัญหาอะไรแล้วเราจะสามารถแก้ไขจุดนั้นได้หรือไม่และย้อนกลับมาถามตัวเองว่า คุณมีคุณสมบัติและมีศักยภาพเพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้กิจการของคุณเป็นหนึ่งในสิบหรือ 5% ที่
สามารถอยู่รอดต่อไปได้”


ที่มา หนังสือ คู่มือการเปิดร้านกาแฟฉบับสมบรูณ์

2554-02-24

แฟรนไชส์กาแฟสดชาวดอย

กาแฟสดชาวดอยเป็นธุรกิจกาแฟสดในเครือ อโรม่า กรุ๊ป กลุ่มบริษัทของคนไทย ที่ได้ดำเนินธุรกิจด้านกาแฟคั่วบดมากว่า 50 ปี พิถีพิถันกับการคัดเลือกวัตถุดิบ เพื่อมาผลิตเป็นกาแฟคั่วบดคุณภาพสูงสำหรับ
คนไทย และยังมีการส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศอีกด้วย เพราะเรามุ่งมั่นในธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม เราจึงก่อตั้งอีก 5 บริษทในเครือ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครบวงจร และด้วยความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์์เกี่ยวกับกาแฟคั่วบดที่ได้สั่งสมมานานให้กับผู้ที่สนใจที่จะเปิดร้าน กาแฟสดอโรม่า จึงได้ขยายธุรกิจร้านกาแฟภายใต้ชื่อกาแฟสดชาวดอย ร้านกาแฟสดสายพันธุ์ใหม่เชื้อชาติไทยสัญชาติไทยให้เป็นอีก 2 ทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุน กาแฟสดชาวดอย เครือข่ายร้านกาแฟสดที่คุณมั่นใจได้

กาแฟชาวดอย


ลักษณะเด่นของกาแฟชาวดอย
-กาแฟสดชาวดอย ร้านกาแฟสดที่เน้นรสชาติกาแฟเข้ม....ไม่เกรงใจใคร รสชาติกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย
-กาแฟสดชาวดอย ร้านกาแฟที่เน้นการลงทุนที่ต่ำคืนทุนไว และทำการค้าได้จริง
-กาแฟสดชาวดอย ร้านกาแฟสดที่เน้นความสะดวกทันสมัยใช้พื้นที่น้อย
-กาแฟสดชาวดอย ร้านกาแฟที่คั่วกาแฟเอง โดยผู้เชี่ยวชาญการคั่วกาแฟที่มีประสบการณ์มากกว่า 50 ปี จากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ได้มาตรฐาน GMP (หลักเกณฑ์วิธีที่ดีในการผลิต) จากอย.
-กาแฟสดชาวดอย ร้านกาแฟสดที่เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของเครื่องชงกาแฟยี่ห้อดังๆ จากอิตาลี่และอเมริกา
-กาแฟสดชาวดอย ร้านกาแฟสดที่มีทีมงานบริการหลังการขาย ที่มีประสบการณ์เฉพาะในการซ่อมเครื่องชงกาแฟพร้อมอะไหล่ที่ครบครัน
-กาแฟสดชาวดอย ร้านกาแฟที่มีทีมงานที่มีประสบการณ์ในการฝึกอบรม Barista (พนักงานชงกาแฟ) ทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติ


กาแฟสดชาวดอย เป็นรูปแบบธุรกิจที่มีการลงทุนต่ำ ความเสี่ยงต่ำมากภาชนะ วัตถุดิบ เพื่อใช้ในการจำหน่ายได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ทัยสมัย

ปัจจัยในการตัดสินใจดำเนินการธุรกิจกาแฟสดชาวดอย
1. คุณภาพ เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูง จากประสบการณ์การคั่วตามพกรรมวิธีที่ดีจากชาวดอย
2. รสชาติ ด้วยเมล็ดกาแฟที่ดี จึงทำให้ได้รสกาแฟที่หอมกรุ่น และเข้มข้น
3. การลงทุนต่ำ เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีความคล่องตัวในการดำเนินการสูง ตามรูปแบบของผู้ลงทุน

รูปแบบธุรกิจกาแฟชาวดอย
ชุดประหยัด
ไม่มีบูทไม้, มีเครื่องชงกาแฟ (มีที่บดกาแฟในตัว), อุปกรณ์และวัตถุดิบชุดเล็ก
เหมาะสำหรับการออกแบบร้านกาแฟสไตล์ความชอบส่วนตัว

ชุดเล็ก
มีบูทไม้, มีเครื่องชงกาแฟ(มีที่บดกาแฟในตัว), อุปกรณ์บางรายการ และวัตถุดิบชุดเล็ก
ร้านกาแฟสดขนาดกะทัดรัดทันสมัยเข้าได้ทุกสถานที่ เหมาะสำหรับมุมเล็กๆ
ใช้้พื้นที่ประมาณ 1.5 ตารางเมตร

ชุด มินิบาร์
มีบูทไม้, มีเครื่องชงกาแฟ(มีที่บดกาแฟในตัว), อุปกรณ์ครบชุดและวัตถุดิบชุดใหญ่
ร้านกาแฟสดขนาดกะทัดรัดทันสมัยเข้าได้ทุกสถานที่เหมาะสำหรับมุมเล็กๆ
ใช้้พื้นที่ประมาณ 1.5 ตารางเมตร

ชุดรถเข็น
มีบูทไม้, มีเครื่องชงกาแฟ(มีที่บดกาแฟในตัว) อุปกรณ์และวัตถุดิบชุดใหญ่
ดีไชน์ทันสมัยสะดวกโดนใจ เหมาะสำหรับตึกสำนักงาน, ศูนย์อาหาร
ใช้พื้นที่ประมาณ 2 ตารางเมตร ร้านกาแฟสดสำเร็จรูป

Corner งบลงทุนประมาณ 300,000 บาท
ร้านกาแฟสดขนาดกลางมาตรฐานเสมือนร้านใหญ่
เหมาะที่จะเป็นส่วนหนึ่งของอาคารสำนักงาน บริเวณศูนย์การค้าทั่วไป
ใช้พื้นที่ตั้งแต่ 5 ตารางเมตรขึ้นไป อาจมีที่นั่ง หรือไม่มีที่นั่งให้กับลูกค้าก็ได้

Stand Alone Shop งบลงทุนประมาณ 800,000 บาท
ร้านกาแฟสดมาตรฐานขนาดใหญ่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร
เหมาะสำหรับเป็นอาคารพาณิชน์ อาคารอิสระ หรือร้านที่อยู่ในศูนย์การค้า
ใช้พื้นที่ตั้งแต่ 25 ตารางเมตรขึ้นไป

เงื่อนไขการเข้าร่วมเครือข่ายร้านกาแฟสดชาวดอย
-ได้รับสิทธิ์ในการใช้ชื่อ และเครื่องหมายการค้าของกาแฟสดชาวดอยในการดำเนินธุรกิจตลอด
-ได้รับสิทธิ์ในการซื้อกาแฟคั่วบดสูตรกาแฟสดชาวดอย และสินค้าอื่นๆ ที่มีเครื่องหมายการค้ากาแฟสดชาวดอยในราคาพิเศษ
-ได้รับการสนับสนุนด้วยโฆษณาสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ และการส่งเสริมการขาย
-ได้รับคู่มือในการทำกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ
-ได้รับคำแนะนำและเสนอแนะ พร้อมทั้งคอยตรวจสอบควบคุมคุณภาพ
-ได้รับความช่วยเหลือในการฝึกอบรมพนักงานทั้งในภาคทฤษฏี และปฏิบัติ



นอกจากนี้ยังมีรูปแบบธุรกิจ โดยใช้รถกาแฟสด (Cart) ซึ่งรถดังกล่าวสามารถบรรจุ และจัดเก็บอุปกรณ์
ภาชนะ วัตถุดิบ เพื่อใช้ในการจำหน่ายได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ทัยสมัย

ตารางค่าใช้จ่าย
หัวข้อ ค่าใช้จ่าย
- ค่าค้ำประกันรถกาแฟสด 60,000
- ค่าแฟรนไชส์ (ค่าลิขสิทธิ์รายปี)ปีถัดไป 12,000
- ค่าแฟรนไชส์ (ค่าลิขสิทธิ์รายปี)ปีแรก 20,000
- ค่าเช่ารถกาแฟสดรายเดือน 1,000
- ชุดอุปกรณ์เปิดร้านใหม่ 65,000

สนใจธุรกิจร้านขายกาแฟชาวดอย ติดต่อ
ที่อยู่ 139/13, 139/16-18 อาคาร B1 ชั้น2 ซอยโชคชัย 4 ถ.ลาดพร้าว แขวงวังทองหลาง
เขตวังทองหลาง กทม. 10310 โทรศัพท์ 0-2933-4191-4, 0-9104-4058

2554-02-08

ธุรกิจร้านกาแฟสด อีกทางเลือกใหม่สำหรับคุณ

121 Coffee
ธุรกิจร้านกาแฟสด อีกทางเลือกใหม่สำหรับคุณ
เปิดร้านกาแฟ เป็นธุรกิจที่ อินเทรนด์มากๆ กระแสการเปิดร้านกาแฟนั้นมาแรง ไม่เคยตก การเปิดร้านกาแฟสดนั้นต้องอาศัยความรู้ หลายอย่าง ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนนั้นคนที่จะเปิดร้านกาแฟต้องมีความเชี่ยวชาญ หรือมีความเข้าธุรกิจด้านกาแฟ เป็นอย่างดี แต่ทุกวันนี้มุรกิจแฟรนไชส์กาแฟสด ไว้รองรับ คนที่อยากเป็นเจ้าของกิจการร้านกาแฟไว้แล้ว


121 Coffee Bland Group.
สำหรับท่านที่ต้องการมีรายได้เสริมจาก ธุรกิจร้านกาแฟสด ลงทุนน้อยแต่รายได้ดี มีพื้นที่แต่ยังไม่มั่นใจในการลงทุน ชุด StarterKit ของเราช่วยคุณได้
* ไม่เก็บเปอร์เซ็นต์การขาย
* ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า
* กำหนดราคาขายได้เอง
* ให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมงแบบเป็นกันเอง
ชุดเปิดร้านสำเร็จรูป

StarterKit I - ราคา 13,800 บาท
ชุดอุปกรณ์มาตรฐาน+เครื่องชงกาแฟ Elextrolux ESS200

StarterKit II - ราคา 15,800 บาท
ชุดอุปกรณ์มาตรฐาน+เครื่องชงกาแฟ SAECO Via Veneto Deluxe

StarterKit III - ราคา 21,800 บาท
ชุดอุปกรณ์มาตรฐาน+เครื่องชงกาแฟ SAECO Via Veneto Combi

StarterKit VI - ราคา 29,800 บาท
ชุดอุปกรณ์มาตรฐาน+เครื่องชงกาแฟ Rancelio : Silvia

StarterKit V - ราคา 31,800 บาท
ชุดอุปกรณ์มาตรฐาน+เครื่องชงกาแฟ LELIT : PL042QE


Counter I - เคาท์เตอร์มาตรฐาน ราคา 13,500 บาท
Counter II - เคาท์เตอร์มาตรฐาน+โครงหลังคา ราคา 16,800 บาท

อุปกรณ์มาตรฐาน
•เครื่องชงกาแฟแบบแมนนวล
•อุปกรณ์การชงกาแฟ 1 ชุด
•เมล็ดกาแฟสด 5 กิโลกรัม
•ชาเย็น, โกโก้ อย่างละ 1 ห่อ
•กราฟฟิคป้ายเมนูราคาตามสั่ง
•น้ำตาล ครีมเทียม อย่างละ 1 กิโลกรัม
•โหล 6 ใบ แก้วขนาด 9, 16, 22 ออนซ์ อย่างละ 100 ใบ + ฝา + หลอด
•นมข้นหวาน ข้นจืด อย่างละ 6 กระป๋อง และอื่นๆ อีกมากมาย

ผลิตและจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่ว-บด
เกรด A 100%
ROBUSTA - โรบัสต้า 250 บาท/กก.
ESPRESSO - เอสเพรสโซ่ 290 บาท/กก.
MOCHA - มอคค่า 290 บาท/กก.
ARABICA - อาราบีก้า 390 บาท/กก.
BRAZIL - บราซิล 390 บาท/กก.
BLUE MOUTAIN - บลูเมาท์เท่น 420 บาท/กก.
COCOA - โกโก้ 320 บาท/กก.
EXTRA TEA - ชาแดง 230 บาท/กก.
GREEN TEA - ชาเขียว 125 บาท/ห่อ.

*บริการส่งทั่วประเทศ ฟรี
*บริการบด และซีลห่ออย่างดี ฟรี
*บริการเมล็ดกาแฟเพื่อทดลองชิม ฟรี

ตัวแทนจำหน่ายเครื่องชงและเครื่องบดกาแฟนำเข้าจากต่างประเทศ
บอกลาเครื่องชงกาแฟรุ่นเก่า กับเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่นี้ที่เดียวควบคุมความร้อนและแรงดันด้วยคอมพิวเตอร์บอร์ด เพื่อให้ได้น้ำกาแฟสดที่มาตรฐานที่สุด รูปทรงดีไซน์ทันสมัย ระบบความปลอดภัยสูง รองรับงานหนักได้สบายๆ ในราคาที่คุณพอใจ

สนใจร่วมธุรกิจติดต่อ
121 Coffee Bland Group. 367/90 บางขุนศรี บางกอกน้อย กทม.10700
โทร.087-808-7447,02-411-4853

2554-01-31

ก่อนเปิดร้านกาแฟ ให้พิจารณากฎ 6W2H

กระแสการอยากเปิดร้านกาแฟเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จริงๆ แล้วการทำกิจการร้านกาแฟไม่ใช่อาศัยแค่ความฝันอันแสนหวานแล้วจะประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นความล้มเหลวของกิจการจึงเกิดได้เช่นกัน แต่ก็ยังมีเจ้าของกิจการกาแฟจำนวนไม่น้อยที่ทำตามความฝัน ทุ่มเทและตั้งใจเดินบนเส้นทางอาชีพนี้ต่อไป
มันจะต้องเจออุปสรรคมากมาย ประตูสู่การเปิดร้านกาแฟนั้นเปิดต้อนรับอยู่แล้ว การเปิดร้านจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องยืนหยัดมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง จากสถิติของกิจการ SMEs กิจการที่สามารถดำเนินการได้มากกว่า 5 ปี มีอยู่ประมาณ 20% เท่านั้น อีก 80 % ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ซึ่งนี่คือ
“กฎ 8-2” ของตลาด


ร้านกาแฟ

ดังนั้นเมื่อดูจากตัวเลขเหล่านี้แล้วอัตราการประสบความสำเร็จของผู้ดำเนินกิจการร้านกาแฟโดยเฉลี่ยจึงมีเพียงแค่ร้อยละ20 หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ในบรรดาร้านกาแฟ 10 แห่ง มีอยู่ 8 ร้านที่เมื่อเปิดกิจการแล้วอยู่ได้เพียง 1 -2 ปีก็ประสบกับความยากลำบากในการทำกิจการ ส่วนร้านที่สามารถอยู่ได้เกิน 5 ปีนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก

ถึงแม้ร้านกาแฟจะประสบความสำเร็จ กิจการรุ่งเรือง แต่หลังจาก 10 ปีไปแล้วก็อาจจะต้องปิดร้านหรือเซ้งกิจการให้ผู้อื่นก็เป็นได้ อย่างเช่นกาแฟกรรมกรในใต้หวัน ที่มียอดขายสูงจนมีชื่อเสียง แต่หลังจากเปิดร้านได้ 10 ปีและพิจารณาถึงการแข่งขันในตลาดแล้ว ท้ายที่สุดก็ต้องเปลี่ยนเจ้าของปรากฏการณ์เหล่านั้นสะท้อนให้เห็นว่าก่อนจะเปิดกิจการเจ้าของร้านกาแฟมักจะมีความฝันอันสวยหรูมากเกินไป และสร้างร้านกาแฟ โดยใช้เพียงแค่ความฝันโดยมองข้างความเป็นจริงไป

โจวเวินเผย รองกรรมการผู้จัดการของกาแฟอิลลี่ ผู้ซึ่งเคยให้คำปรึกษาเรื่องการเปิดกิจการแก่เจ้าของร้านกาแฟมาแล้วกว่า 400-500 แห่ง ได้พูดคุยกับเจ้าของกิจการร้านกาแฟที่เต็มไปด้วยความใฝ่ฝันในการเปิดร้าน เขาจะต้องให้คนเหล่านั้นถามตัวเองและตอบคำถามตามความจริงก่อนว่า

“ฉันต้องการเปิดร้านกาแฟเพื่ออะไร”

จากนั้นก็รอก็คำตอบของพวกเขาและดูว่าพวกเขามีความเชื่อมั่นในตัวเองและมีความอดทนหรือไม่มีความฮึกเหิมและตั้งใจจริงเพียงใด เพื่อดูว่าเขาอยากเปิดร้านกาแฟหรือเหมาะที่จะเป็นเจ้าของร้านกาแฟจริงๆ หรือเปล่านอกจากจะมีคำถามแรกที่ได้กล่าวไปแล้ว

สรุปกฎ “6w2H” จากการสัมภาษณเจ้าของกิจการร้านกาแฟที่ประสบความสำเร็จอีกหลายสิบท่าน ให้ผู้ที่ชอบกาแฟได้ลองพิจารณาก่อนจะเปิดร้าน เพื่อลดโอกาสความล้มเหลวให้กับหลายๆ คนที่อยากเป็นเจ้าของร้านกาเเฟโดยนำกฏ “6w2H” ที่จะกล่าวต่อไปนี้ มาถามตัวเองอย่างละเอียดเพื่อประเมินตัวเองให้ดีก่อนเปิดกิจการ

นี่คือกฏ 6W2H
Why….ทำไมจึงอยากเปิดร้านกาแฟ?

คำถามก็คืืออยากเป็นเจ้าของร้านกาแฟหรือเปล่า?
-ในอนาคตจะเปิดร้านกาแฟจริงๆ ใช่ไหม?
-เคยคิดจะเปิดกิจการอย่างอื่นหรือไม่?
-อยากทำงานอิสระและมีเวลาอย่างเสรีใช่หรือไม่?
-อยากได้เงินมากสักหน่อยใช่ไหม?
-อยากสร้างรายได้ด้วยตัวเอง?
-อยากมีแนวทางในการดำเนินกิจการที่แตกต่างออกไปอีกแบบหนึ่งหรือเปล่า?
-หรือว่าแค่ชอบดื่มกาแฟ?
-ชอบสัมผัสกับความโรแมนติกและความสบายใจในแบบกาแฟ ?
-ชอบชงกาแฟและบริการลูกค้าหรือเปล่า?

When…วางแผนจะเปิดร้านกาแฟ เมื่อไหร่?
-รอจนเก็บเงินให้พอแล้วจะเปิด ?
-รอจนเรียนชงกาแฟและทำอาหารเป็น?
-วางแผนว่าจะใช้เวลาเตรียมตัวสัก 3 ปี 5 ปี หรือว่า1 ปีหรือครึ่งปี?
-ตอนนี้เตรียมตัวพร้อมแล้ว สามารถเปิดร้านได้เลย?
-แค่มิความคิดว่าจะเปิดร้าน แต่ยังไม่รู้ว่าจะเปิดเมื่อไร?

Where...อยากเปิดร้านกาแฟที่ไหน?
-อยากเปิดร้านในพื้นทันทีอยู่ใกล้บ้าน?
-อยากเปิดในเขตการค้าที่มีผู้คนพลุกพล่าน?
-อยากทำการค้าในเขตตึกสำนักงานที่มีกลุ่มคนทำงาน?
-อยากเปิตร้านในที่ที่มีทิวทัศน์สวยงาม ?
-ยังไม่ได้คิดไว้ เจอเมื่อไหร่ก็จะเปิด ?
-มีห้องเป็นของตัวเองสามารถเปิดร้านได้?
-มีร้านแห่งหนึ่งที่ต้องการจะไปเซ้งต่อ ?
-เพื่อนมีห้องว่างสามารถเขาได้?

What…อยากขายอะไรในร้านกาแฟของคุณ?
-อยากเปิดร้านทื่ขายเฉพาะกาแฟเท่านั้น ?
-อยากขายกาแฟและเครืองดื่มชนิดอื่น?
-เติมของว่างจำพวกแซนด์วิชเข้าไปหน่อย?
-ต้องการขายอาหารด้วยหรือเปล่า?
-อยากขายอาหารจีน อาหารฝรั่งหรืออาหารญี่ปุ่นด้วยหรือไม่?
-อยากเปิดร้านกาแฟแบบหลากหลายสักแห่ง?
-ขายทั้งดอกไม้ หนังสือและเครื่องเขียนด้วยหรือเปล่า?
-ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับกาแฟด้วยหรือไม่?

Whom…อยากขายกาแฟของคุณให้แก่ใคร?
กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้เป็นคนกลุ่มไหน?
คนทำงาน? นักเรียน? วัยรุ่น? คนในชุมชน? คนในวงการศิลปะวรรณกรรม?
ผู้ชาย? ผู้หญิง? คนที่ชอบกาแฟ คนที่พูดคุยธุรกิจ?
คนทีอยากพักผ่อนสบายๆ คนทีอยากลิ้มรสชาติของชีวิต คนที่มีรายได้สูง?
คนที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง? คนที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ?
ไม่รู้จะขายให้กับใคร ขอแค่มีคนเข้าร้านก็พอแล้ว?

Who…ใครจะเป็นคนดำเนินกิจการร้านกาแฟนี้?
ร้านกาแฟแห่งนี้คุณดำเนินการคนเดียวหรือเปล่า?
คุณเป็นแค่เจ้าของที่ออกเงิน? หรือว่าเป็นทั้งเจ้าของร้านและพนักงาน หรือมีหุ้น
ส่วนคนอื่นมาเปิดกิจการด้วย? มีเพื่อนร่วมงานคนอื่นด้วยหรือไม่? ถ้ากิจการรุ่งเรืองแล้วพนักงานไม่พอจะทำอย่างไร? หาพนักงานจากที่ไหน?
ให้เพื่อนสนิทมาช่วย? จ้างพนักงานประจำหรือชั่วคราว?

How much…เปิดร้านกาแฟต้องใช้เงินเท่าไหร่?
คุณรู้ไหมว่าการเปิดร้านต้องใช้เงินอย่างน้อยเท่าไร?
คุณเตรียมเงินลงทุนไว้เท่าไหร่ จะสามารถหายอมได้เท่าไร?
ถ้าเงินไม่พอจะทำอย่างไร? จะหาเงินทุนได้จากที่ไหน? หรือว่าจะกู้ยืม? มีช่องทางกู้ยืมเงินจากที่ไหนบ้าง?
หลังจากกู้ยืมมาแล้วจะรับผิดชอบดอกเบี้ยไหวหรือไม่?
ถ้าขายไม่ได้ เงินทุนที่มีอยู่จะพยุงไว้ได้นานแค่ไหน?
คาดว่าจะใช้เวลาเท่าไรในการคืนทุน? คุณจะเริ่มเตรียมตัวเปิดร้านอย่างไร?
คุณจะเตรียมอะไรบ้าง? มีเทคนิคการชงกาแฟหรือเปล่า?
มีความสามารถในการจัดการหรือไม่? มีประสบการณ์การจัดซื้อหรือเปล่า?
มีความสามารถในการวางแผนการเงินไหม? คุณรู้ไหมว่าจะหาโรงงาน
จำหน่ายวัตถุดิบได้จากที่ไหน?
จะแสดงจุดเด่นของตัวเองอย่างไร? ถ้าขายไม่ได้จะทำอย่างไร? จะยืนหยัดดำเนินกิจการต่อไป
ได้เรื่อยๆ หรือเปล่า?


Thank image from sea.jura.com

2554-01-19

ข้อควรระวังในการเลือกที่ตั้งร้านกาแฟ

เรามีเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เวลาเลือกทำเล หรือสถานที่ตั้งร้านกาแฟดังต่อไปนี้
ร้านกาแฟ
อย่าเลือกร้านกาแฟที่อยู่บนถนนใหญ่
การเปิดร้านกาแฟในเขตชุมชนเมือง หากไม่มีการสนับสนุนด้านเงินทุนที่เข้มแข็งพอ ก็ต้องเลือกเปิดร้านในเขตที่ไม่ใช่ชุมชน
เมือง เพราะ
1. ร้านที่อยู่ริมถนนใหญ่ในเขตชุมชนเมืองมีค่าเช่าที่แพงมาก จนคุณอาจจะอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือนและทำการค้าระยะยาวได้ยาก
ร้านกาแฟที่อยูริมถนนใหญ่จะต้องใช้ต้นทุนในการตกแต่งสูง เพราะจะต้องมีการตกแต่งที่โดดเด่นและมีสไตลืจงจะสามารถดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าร้านได้

อย่าเลือกร้านกาแฟที่อยู่ในซอย
ร้านกาแฟที่เปิดอยู่ในซอยจะมีต้นทุนค่าเช่าที่ค่อนข้างต่ำทางที่ดีควรจะอยู่ในซอยที่ไม่ไกลจากถนนมากนัก แต่อย่าอยู่ใน
ตรอกเล็กๆ ที่เงียบเชียบและหางไกลโดยเด็ดขาด นอกเสียจากว่าคงจะมีฐานลูกค้าประจำและมีจำนวนลูกค้าเพียงพอที่จะ
รักษาธุรกิจเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นการเปิดร้านอยู่ในตรอกจะมีข้อจำกัดด้านสถานที่ ไม่เพียงแต่จะมีลูกค้าน้อยมากเท่านั้น ลูกค้า
ยังต้องเสียแรงในการหาร้านอีกด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุที่อาจจะทำให้มีผู้บริโภคน้อยลง

อย่าเลือกร้านกาแฟที่ ที่ตั้งไม่ดี เพียงเพราะกลัวเสียเวลา
บางคนอยากจะรีบเปัดร้านแต่หาทำเลอยู่นานก็ยังไม่พอใจสุดท้ายก็ยอมเลือกทำเลที่เป็นรอง ยอมเลือกร้านที่ไม่ใช่อย่างที
คิดไว้เพราะไม่อยากรอ สุดท้ายเมื่อมีปัจจัยด้านพื้นที่ที่ไม่ดีพอจึงทำให้มีลูกค้าน้อย การค้าไม่เป็นอย่างที่หวังkว้ ถ้าดูแลร้าน
ไม่ดีก็ต้องประกอบกิจการด้วยความยากลำบาก หากสถานที่ ที่หาได้ไม่เหมาะสมจริงๆ กอย่างดันทุรังเลย ยอมเลื่อนแผนการเปิดร้านออกไปจะดีกว่า อย่าตัดสินใจเลือกทำเลที่ไม่ดีโดย
เด็ดขาด

การพิจารณาเลือกสถานที่ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต
โดยปกติแล้ว ร้านกาแฟแห่งหนึ่งจะต้องประกอบกิจการระยะยาวจึงจะสามารถคืนทุนได้ ถ้าบริเวณเขตพื้นที่นั้น มีโครงการที่จะพัฒนาหรือสร้างระบบคมนาคม เป็นต้น ก็อาจจะทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก แนวโน้มการพัฒนาอนาคตของบริเวณนี้ก็คงไม่เลวเลย ควรค่าแก่การพิจารณา
เพื่อเป็นทำเลในการเปิดร้าน เช่นบริเวณที่อยู่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เพราะหลังจากมีรถไฟใต้ดินแล้ว ก็ต้องมีผู้คนเช่าเป็นจำนวนมาก หรืออาจจะเป็นแผนการบุกเบิกตลาด
ตลาดขนาดใหญ่หรือแผนการสร้างเมืองใหม่ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดเขตธุรกิจใหม่ๆ และเป็นการสร้างโอกาสทางการค้าด้วย


จะหาทำเลร้านกาแฟได้จากที่ไหนบ้าง?
โดยทั่วไปร้านที่จะใช้ทำการค้าหากไม่ใช่การเช่าก็ต้องเซ้งหรือไม่มีบ้านที่ทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นของตัวเองหรือ
มีญาติ หรือเพื่อนสนิทที่คุณสามารถใช้ได้ฟรี(ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า) แน่นอนหากจะซื้อขาดก็ทำได้ แต่การซื้อที่สักแห่งเพื่อเปิดร้านกาแฟนั้น เมื่อดูจากมาตรฐานราคาที่ดินตามที่ต่างๆแล้ว ก็อาจจะ
เป็นการลงทุนที่สูงอย่างคาดไม่ถึงนลยทีเดียวหากคุณมีบ้านเป็นของตัว เองหรือของญาติพี่น้องก็ไม่จำเป็นต้องหาที่ตั้งร้าน แต่หากไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็น
เจ้าของกิจการล้วนต้องออกแรงหาด้วยตัวเองจึงจะสามารถหาร้านที่เหมาะสมได้


1.หาดูตามสถานที่ต่างๆ เช่น ติดถนน หรือซอย คนพลุกพล่าน
หากสนใจอยากเช่าหรือเซ้งร้าน เจ้าของร้านสามารถไปตระเวนหาด้วยตัวเองได้โดยขี่รถจักรยานยนต์ไปตามถนน และตรอกซอกซอยในเขตพื้นที่ที่กำหนดเอาไว้ เพื่อดูว่ามีที่ใหนบ้างที่แปะป้ายประกาศให้เช่าหรือเซ้ง จากนั้นก็ไปหาเจ้าของที่และพูดคุยกับเขาด้วยตัวเอง วิธีนี้ต้องเสียแรงและเวลามาก แต่ก็ช่วยประหยัดค่านายหน้าไปได้ และยังได้เห็นและเข้าใจลักษณะของผู้คนรวมถึงนิสัยการบริโภคในบริเวณนั้นได้อีกด้วย

2.หาผ่านบริษัทนายหน้า
บอกบริษัทนายหน้าที่ดินให้รู้ว่าเราต้องการบ้านแบบไหนทั้งเรื่องเขตพื้นที่ ลักษณะของร้าน ขนาดและที่ตั้ง เป็นต้น ให้นายหน้าออกแรงหาร้านที่เหมาะสมให้ แล้วเราค่อยไปดูด้วยตัวเองอีกทีหนึ่ง หลังจากพอใจแล้วก็จ่ายค่านายหน้าให้ โดยทั่วไปค่านายหน้าจะเป็นครึ่งหนิ่งของค่าเช่า วิธีนี้ก็คือการจ่ายเงินเพื่อซื้อเวลา เจ้าของกิจการจะประหยัดเวลาไปได้มาก

3.หาข้อมูลตามอินเตอร์เน็ต โดยดูจาก แหล่งให้เช่า เซ้งหรือขายกิจการ
ในยุคที่มีการพัฒนาด้านอินเตอร์เนต ข่าวการเช่าหรือเซ้งร้านของหลายๆ ร้านล้วนเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์เกี่ยวกับการเช่า
บ้านหรือการเปิดกิจการด้วยกันทั้งนั้น และบางแห่งยังมีบริการการดูห้องผ่านอินเตอร์เนทอีกด้วย การเข้าไปในอินเตอร์เนทแล้วหาข้อมูลก์โรเช่าร้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตั้ง ขนาดค่าเช่า เป็นต้น จะทำให้คุณสามารถหาร้านที่ต้องการไต้อย่างรวดเร็วหรือใช้เครื่องมือค้นหาโดยพิมพ์คำว่า “เช่าร้าน" หรือ “เซ้งร้าน” ลงใป ก็จะมีข้อมูลออกมายาวเป็นหางว่าว คุณก็อาจจะหาเจาะเข้าไปในเขตพื้นพื้นที่ที่กำหนดไว้อีกทีก็ได้เชนกัน

4.สอบถามข้อมูลจากเจ้าของร้านกาแฟ หรือตัวแทนจำหน่ายกาแฟ
ผู้ที่ประกอบอาชีพเดียวกันล้วนใส่ใจเรื่องความเคลื่อนไหวของกันและกัน เมื่อเจ้าของกิจการมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวอะไร ผู้ที่อยู่ในอาชีพเดียวกันย่อมต้องได้ข่าวก่อนคนอื่น หากอยากจะเปิดร้านและรู้จักกับเจ้าของร้านกา แฟหรือบริษัทตัวแทนจำหน่ายกาแฟบางแห่ง ก็สามารถสอบถามข้อมูลหรือข่าวคราวจากพวกเขาได้ เมื่อรู้แล้วว่ามีร้านไหนปิดกิจการหรือให้เซ้ง คุณก็จะสามารถหาร้านเพื่อเปิดกิจการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น


เหล่านี้พอจะเป็นไกด์ไลน์นำทางให้คุณได้ ในการตัดสินใจเลือกสถานที่ในการเปิดร้านกาแฟ